วันที่ 16 พ.ค.62 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นัดฟังคำสั่งฟังคำพิพากษ คดีทุจริตเงินทอนวัดในส่วนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัวจำเลยทั้งสองจากเรือนจำ คือ อดีตพระพรหมดิลก อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และกรรมการมหาเถรสมาคม และ อดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสามพระยาฯ และเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 และ 2 เข้าฟังคำพิพากษาคดี โดยคดีนี้ทั้งสองคน มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันฟอกเงินงบประมานอุดหนุนวัดด้านปริยัติธรรม
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริงพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานฟอกเงิน กระทงละ 3 ปี 2 กระทง รวมจำคุก 6 ปี และให้จำคุกจำเลยที่ 2 ฐานฟอกเงิน กระทงละ 1 ปี 6 เดือน 2 กระทง รวมจำคุก 3 ปี
โดยงบส่วนใหญ่ถูกถ่ายโอนเข้าบัญชี นางวิภาพร อุดมโชคปิติ ซึ่งเป็นภรรยาของ นายวิวุฒิ อุดมโชคปิติ และยังพบว่า ครอบครัวนี้ทำสัญญาเช่าที่ดินวัดสามพระยา บริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้า เดือนละ 30,000 บาท และนำไปปล่อยให้เอกชนเช่าช่วงทำร้านร้านอาหารรองรับนักท่องเที่ยวจีนถึงเดือนละ 300,000 บาท และแนวทางการสืบสวน ยังพบว่าครอบครัวนี้ทำธุรกิจขายเครื่องสังฆภัณฑ์ร่วมกับวัดสามพระยาด้วย
ก่อนเข้าฟังคำพิพากษา นายอรรณพ บุญสว่าง ทนายความวัดสามพระยาฯ มั่นใจว่า ศาลจะยกฟ้องคดี เนื่องจากในการนัดสืบพยานทุกครั้ง ทางวัดสามารถนำหลักฐานชี้แจงได้ชัดเจน โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบอุดหนุนวัดที่ได้รับจากสำนักพุทธ จำนวน 5 ล้านบาท
โดยนายอรรณพ ยืนยันว่างบที่ได้รับมา เป็นงบด้านก่อสร้างอาคาร ที่วัดเคยเขียนเป็นวัตถุประสงค์เสนอของบจากสำนักพุทธฯ เมื่อปี 2553 เพื่อร่วมสนับสนุนก่อสร้างอาคารร่มธรรม ก่อนจะได้รับอนุมัติงบเป็นใบเช็คเมื่อปี 2556 และทางวัดไม่ทราบว่า งบที่ได้รับมาเป็นด้านปริยัติธรรม ซึ่งได้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ขอไป
จากนั้นได้นำเงิน 5 ล้าน เข้าบัญชีวัด ซึ่งไปรวมกับเงินเดิมที่คงค้างบัญชีอยู่ 1 ล้าน 6 แสนบาท ก่อนจะทำการถอนครั้งแรก 5 แสนบาท เพื่อซื้อวัสดุทำหน้าบันปูนปั้น และถอนครั้งที่ 2 จำนวน 1 ล้าน 9 แสนบาท เพื่อเป็นค่างวดก่อสร้างอาคารร่มธรรม ส่วนครั้งที่สามถอนจำนวน 1 ล้าน 6 แสนบาท เพื่อซื้อกระเบื้องสร้างอาคารร่มธรรม ซึ่งทั้งหมดนี้ ทนายความยืนยันว่า ไม่มีการโอนงบเข้าบัญชีอดีตพระพรหมดิลก ตามที่ถูกกล่าวหา