เอ๋ อรชัญญา ร่ำไห้ส่งสามี เมฆ วินัย ไกรบุตร เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมเผยสภาพจิตใจ ตอนนี้ขอโฟกัสที่ลูกสามคนเป็นหลัก
บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้าสำหรับพิธีฌาปนกิจศพของพระเอก เมฆ วินัย ไกรบุตร ที่ได้จากไปอย่างสงบในวัย 54 ปี เมื่อคืนวันที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 23.49 น. จากภาวะความดันตก ติดเชื้อในกระแสเลือด หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายตุ่มน้ำพองมานานกว่า 5 ปี ซึ่งภายในงานก็ได้มีคนบันเทิงมากมาย ต่างก็ทยอยมาเดินทางมาร่วมไว้อาลัยพระเอกร้อยล้านในตำนานของไทย

เอ๋ อรชัญญา ร่ำไห้ส่งสามี เมฆ วินัย ครั้งสุดท้าย
ล่าสุดทางด้านภรรยาอย่าง เอ๋ อรชัญญา ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลพร้อมทั้งน้ำตา ถึงการส่งสามีครั้งสุดท้ายแบบไม่มีวันหวนกลับ โดยได้เผยว่า “บอกเขาทุกวันว่าให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี สิ่งที่เราทำ กุศลทุกอย่างที่สร้างไว้ก็อยากเป็นสะพานให้เขาไปให้ถึง (ยังมาหาลูกไหม?) ไม่เลย ตั้งแต่วันที่เขาบอกให้เราพักผ่อน ปล่อยเราหลับได้ เขาก็ไม่มาอีกเลย
ถามถึงสภาพจิตใจ หลังจากพี่เมฆเสียชีวิตวันที่ 3 สิ่งที่เกิดกับพี่คือลูก ด้วยความที่เศร้า เราก็ไม่ได้ไปโฟกัสเรื่องอื่น พอเราหันกลับมาลูกร้องไห้ทั้งวัน แล้วก็ไม่ทานข้าว จริงๆ ต่อหน้าเราเขาไม่ร้อง แต่ไปแอบร้อง แต่คนในบ้านมาบอกหมดเลยว่า น้องมาร์ค น้องแมม ไม่ทานข้าวเลย 2 วัน นอนไม่หลับ ตื่นมาเปิดดูโซเชียลก็ร้องตลอด
พี่ก็เลยหันกลับมาดูตัวเองว่าเป็นเพราะพี่นี่แหละ เพราะพี่ตัดไม่ได้ ทำใจไม่ได้ เป็นเพราะยังฟูมฟายอยู่ ลูกก็ยิ่งแย่ ก็เลยต้องกลับมาโฟกัสใหม่ว่าเป้าหมายพี่คือลูก 3 คน สำคัญสำหรับพี่ตอนนี้คือลูก ต้องเอาลูกมาก่อน เลยต้องพยายามสะกดจิตตัวเองให้สู้ต่อไป ให้ก้าวเดินให้ได้ มนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ ถ้าจะเศร้า จะร้องไห้ ก็ขอไปร้องคนเดียว ถ้าต่อหน้าลูก ต่อหน้าครอบครัว อยากให้รับรู้ว่าถ้าพี่แข็งแกร่งเดินไปได้ ให้เขาเห็นเราเป็นตัวอย่าง”

วันนี้เรายังมีห่วงอะไรอีกไหม ?
เอ๋ อรชัญญา : “ทุกอย่างมันน่าจะปลดล็อกแล้ว ถามว่ามีห่วงไหม คืออาลัยมากกว่า มันยังอาลัย ยังรู้สึกว่าเขายังอยู่ในใจเราเสมอ แล้วเราก็เชื่อว่าเขายังอยู่ในใจทุกคนเสมอ เพราะสิ่งที่เขาทำเอาไว้ มันทำให้เห็นแล้ว ว่าคนรักเขามากแค่ไหน กับลูกพี่ก็บอกเขาว่าปะป๊าไปดีแล้ว ถ้าเรายังร้องไห้ ยังมีความทุกข์ เขาจะมีห่วง เขาจะไม่ไปสู่ภพภูมิที่ดี ดังนั้นลูกพี่ทั้ง 2 คน อยากให้พ่อไปอยู่ภพภูมิที่ดี ถ้ามีชาติหน้าก็อยากให้เกิดมาไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ทรมาน ไม่มีความทุกข์ใดๆ ในชาตินี้แล้ว”
