“พรีม รณิดา” เปิดใจไม่ต่อสัญญาช่อง! เผยหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 14

พรีม รณิดา เปิดใจหลังโบกมือลาช่อง 3 ผันตัวเป็นนักแสดงอิสระ เผยจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจนทำให้มาเป็นเธอในทุกวันนี้

โบกมือลาอีกรายสำหรับนางเอกสาวลูกครึ่งไทย-อิตาลี พรีม รณิดา ที่ออกมาเปิดใจหลังผันตัวเป็นนักแสดงอิสระหลังอยู่กับสังกัดเก่ามา 13 ปี พร้อมเปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่ยิ่งกว่านางเอกกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญพ่อแม่แยกทางกันต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 14 ปี และต้องคอยดูแลพี่ชายที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดรมในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และ ดีเจพุฒ พุฒิชัย เป็นพิธีกร

S 54304770

กว่าจะมาเป็น “พรีม รณิดา” ในทุกวันนี้

ตอนนี้ออกมาเป็นฟรีแลนซ์แล้วเรียบร้อย เพราะอะไรไม่ต่อสัญญากับที่เดิม ?
พรีม:
“ใช่ค่ะ ต้องบอกก่อนว่าพรีมอยู่กับช่อง3 มา 13-14 ปีแล้วค่ะ ตั้งแต่เด็กเลย พอเราเริ่มโตขึ้นบวกกับพรีมทำอะไรหลายอย่างด้วยช่วงนี้ เลยรู้สึกว่าการที่เราออกมาเป็นฟรีแลนซ์น่าจะตอบโจทย์กับพรีมมากกว่า”

ตอนที่ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาคุยกับผู้ใหญ่อย่างไรบ้าง ?
พรีม:
“ใช้เวลาคิดค่อนข้างนานเหมือนกัน มันไม่ใช่การตัดสินใจอะไรที่ง่ายๆ แต่ผู้ใหญ่ก็น่ารักก็เข้าใจ เรามีปรึกษาเพื่อนๆ รอบข้างเรา พี่ๆ ผู้จัดการแล้วก็มีปรึกษาพูดคุยกับผู้ใหญ่อยู่เรื่อยๆ”

เราก็ยังกลับไปเล่นที่ช่องได้อยู่ ?
พรีม:
“ได้ค่ะ จริงๆพรีมก็มีละครอยู่ 2 เรื่องที่ถ่ายทำจบไปแล้ว รอออนแอร์กับทางช่องอยู่”

การตัดสินใจมีช่วงกังวลมั้ย ?
พรีม:
“เป็นคำว่าหวิวๆ มากกว่า เราก็อยู่กับที่เดิมมา 13 ปีมันก็ยาวนาน เป็นความกังวลที่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่า อาจจะได้มาเจออะไรใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ”

พอออกจากช่องแล้วมีงานอื่นที่เราจะได้เห็นมั้ย ?
พรีม:
“มีค่ะ จริงๆ พรีมมีผลงานเรื่องใหม่ที่จะเป็นบทบาทใหม่ๆ ได้เจอกับทีมงานใหม่ๆที่พรีมไม่เคยเจอมาก่อน รอติดตามกันดูค่ะ”

ชีวิตวัยเด็กผ่านอะไรมาเยอะมาก ตั้งแต่ 1 ขวบต้องย้ายไปอยู่ที่ต่างประเทศ จริงๆ เกิดที่เมืองไทย ?
พรีม:
“เกิดที่เมืองไทย ย้ายไปอยู่ที่อิตาลีค่ะ ประมาณ 1 ขวบก็ย้ายไปอยู่กรุงโรมทั้งครอบครัวมีพี่ชาย คุณพ่อคุณแม่ อยู่ถึง 12 ปี”

ทำไมถึงย้ายกลับมาเมืองไทย ?
พรีม:
“เป็นความต้องการของคุณพ่อแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วว่าอยากย้ายกลับมา ที่นี่ก็มีญาติฝั่งคุณแม่เยอะ ที่นี่ตอนนั้นคุณพ่อก็ซื้อบ้านไว้ด้วยเหมือนเป็นความคิดของคุณพ่ออยู่แล้วว่ายังไงก็อยากจะย้ายกลับมา”

กลับมาไทยต้องมาเรียนโรงเรียนไทย แต่ภาษาไทยไม่ได้ ต้องเรียน 2 ภาษา รับมั้ย ?
พรีม:
“ไม่รับค่ะ ปกติต้องเรียนอินเตอร์ใช่มั้ยคะ พรีมชินกับการเรียนที่เมืองนอกที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร พอย้ายกลับมาโรงเรียนอินเตอร์ยอมรับว่าราคาค่อนข้างแรง เราก็รู้สึกว่าไม่เอาไม่เป็นไร พอ 2 ภาษาโรงเรียนในไทยห้องนึงจะมีนักเรียนประมาณ 30 กว่าคน โรงเรียนไม่เชิงปฎิเสธแต่เขาก็มองว่ากลัวว่าน้องจะเรียนตามไม่ทันเพราะภาษาไทยเราไม่แข็งแรงตามเพื่อนๆไม่ทันแล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นผลเสียมากกว่า เขาเลยแนะนำให้หาโรงเรียนที่เล็กกว่านี้ก่อน ไว้พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันอีกที”

แปลว่าต้องไปนั่งเรียนภาไทยก่อน แล้วไปเรียนภาษาไทยที่ไหน ?
พรีม:
“ต้องไปหาติวเตอร์แถวบ้าน เรียนตัวต่อตัวเป็นเวลาติดกันเดือนสองเดือนเลยแบบทุกวันเลย พอเราเข้าโรงเรียนสอนภาษาไม่ได้เราต้องไปหาโรงเรียนที่เล็กๆ หน่อยที่เหมือนเขาจะพอดูแลเราได้ ห้องนึงมีแค่ 6-8 คน”

ตอนอายุ 14 เกิดเรื่องครั้งใหญ่ในชีวิตเราเลยก็คือคุณพ่อคุณแม่แยกทางกันเกิดอะไรขึ้น ?
พรีม:
“ครอบครัวพรีมเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเปิด เราก็จะรับรู้ซึ่งกันและกันตลอดถ้าใครเป็นยังไงเราก็จะรู้กันอยู่ตลอด เราก็เห็นมาซักพักแล้วว่าการสื่อสารไม่เหมือนเดิม เหมือนคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้เป็นคู่ชีวิตแบบเดิม แต่ว่ามันไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่ช็อคอะไรขนาดนั้น เหมือนฟีลความสัมพันธ์ของคนสองคนที่ค่อยๆ ลดความสัมพันธ์ลง”

เข้าใจเหมือนคนโตเลยเพราะว่าตอนนั้นเพิ่ง 14 เองก็คือเข้าใจสภานการณ์แบบที่เล่ามาแบบนั้นเลย ?
พรีม:
“อย่างที่บอกว่าครอบครัวเราอยู่ด้วยกันตลอด เป็นครอบครัวที่ไม่ปิดบังกัน เราก็เลยเหมือนจะเข้าใจธรรมชาติไปเอง เหมือนเราเห็นแวว”

พอถึงวันนั้นจริงๆ เราเข้าใจคุณพ่อคุณแม่มั้ย ?
พรีม:
“ก็เข้าใจค่ะ 1 ในเหตุผลอีกอย่างนึงคือคุณพ่อย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วก็เริ่มรู้สึกว่าโอกาสงานที่เขาจะได้รับที่อิตาลีอาจจะดีกว่ามันก็เลยเป็น 1 ในเหตุผลที่เขาต้องตัดสินใจย้ายกลับไปแล้วก็แยกทางกันด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องของความสัมพันธ์ด้วยเป็นเรื่องของปัจจัยหลายๆ อย่างก็คือเรื่องงานด้วย เรื่องโอกาสต่างๆ ด้วย พอเอามารวมๆ กันแล้วก็เลยทำให้เราเข้าใจแล้วก็รับได้”

เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต ในวัย 14 ต้องขึ้นมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานหาเลี้ยงครอบครัวไปด้วย ตอนนั้นเริ่มทำงานอะไร ?
พรีม:
“คุณพ่อย้ายกลับไปตอนที่พรีมเริ่มเข้าวงการแล้วเหมือนเป็นช่วงคาบเกี่ยวกัน แต่งานแรกในชีวิตพรีมก็คือเล่น MV ค่ะ เพลงเหวี่ยงก็รักของ พี่กัน นภัทร”

จุดเริ่มต้นการเข้าวงการบันเทิงเข้ามาได้ยังไง มีใครไปเจอ ?
พรีม:
“ตอนนั้นเพิ่งย้ายมาได้ปีนิดๆ ตัวเราก็ยังนับว่าเป็นนักท่องเที่ยวอยู่ในกรุงเทพฯ เราก็เดินเล่นที่เยาวราชแล้วก็เจอเอเจนซี่เข้ามาชวนเราว่าอยากลองแคสติ้งงานมั้ย เราก็ปฎิเสธ หลังจากนั้นก็โดนชวนอีกเราก็ปฎิเสธอีก จนกระทั่งไปเดินซูเปอร์มาเก็ตแถวบ้านแล้วก็โดนชวนอีก รอบนี้ก็เลยรู้สึกว่าคงเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างเราคงต้องลองแล้วหละ วันนั้นก็คือสภาพไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะชวนเราเพราะว่าเพิ่งเล่นน้ำสงกรานต์มาเสร็จใหม่ๆเลย คือผมเปียก”

ผลงานชิ้นแรกมิวสิควีดีโอแล้วมาละครได้ยังไง ?
พรีม:
“ช่วงนั้นพยายามที่จะหาทางเข้าช่องแล้วก็แคสต่างๆ ลองดูว่าเราจะเล่นละครได้มั้ย ตอนแรกที่เจอคนเข้ามาแล้วเราปฎิเสธไปเป็นเพราะว่าไม่คิดเลยว่าตัวเองจะทำงานสายนี้ได้”

เพราะว่า ?
พรีม:
“คือต้องบอกก่อนตอนที่อยู่ที่อิตาลี พรีมก็โตที่อิตาลี เหมือนค่านิยมที่โน่นจะค่อยข้างแตกต่างจากที่นี่ ที่โน่นคนจะมองวงการบันเทิงเหมือนเป็นที่ที่ไกลตัวมากๆ เหมือนเป็นที่ที่แบบคนทั่วๆ ไปน่าจะเอื้อมไปไม่ถึงประมาณนั้น เราก็เลยถูกปลูกฝังมาว่าวงการบันเทิงเป็นที่ที่แบบไม่ใช่ที่ที่เราจะไปทำงานได้หรอก”

พอเล่นละครก็จะมีคนบูลลี่เรื่องรูปร่าง โดนอะไรบ้าง ?
พรีม:
“ส่วนใหญ่โดนในเรื่องของโครงสร้างตัวเรา เราตัวใหญ่ ตอนนั้นอาจจะเด็กด้วยมีเบบี้แฟตเลยทำให้ดูหน้าใหญ่ แต่เหมือนจะเป็นบิวตี้แสตนดาร์ดในช่วงนั้นด้วยมันก็คือ 10 กว่าปีที่แล้ว ตอนนั้นโซเชียลมีเดียต่างๆมันก็ยังเข้าไม่ถึงเมืองไทยก็ยังไม่ได้เปิดกว้างเท่ากับสมัยนี้ทุกคนจะนิยมต้องเป็นสาวตัวเล็ก ขาว เท่านั้น”

พอเจอกระแสบูลลี่เรื่องรูปร่างเราก้าวผ่านยังไง ?
พรีม:
“เราก็ตัดสินใจที่จะเข้ามาทำงานตรงนี้ด้วยเราก็เลยรู้สึกว่ามันก็เป็นส่วนของงาน เป็นส่วนหนึ่งของฟีดแบ็คที่ต้องโดนบ้างแหละ เราก็ทำใจมาแล้วประมาณนึง เราก็ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ไม่รู้แหละว่าคนจะมองยังไง แต่ขอให้คนมองเห็นว่าเราตั้งใจจริงๆ”

เป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลพี่ชายด้วย พี่ชายเป็นดาวน์ซินโดรม ดูแลคุณแม่ด้วย ทำงานด้วย เรียนหนังสือด้วย ตอนนั้นหนักมั้ยสำหรับเรา ?
พรีม:
“ก็รู้สึกหนักแหละ แต่ว่าเป็นความหนักที่เหมือนไม่ได้มีเวลา อาจจะเพราะความยุ่งด้วยมั้งเลยไม่ได้มีเวลาจมอยู่กับมัน เราก็มัวแต่หาวิธีการว่าเราจะทำยังไงต่อ ไม่มีเวลาเรียนใช่มั้ย ฉันสอบเทียบเลย ฉันไม่เรียนเลย ตอนนั้นอยู่ ม.4 เรียนไม่ทันไม่เป็นไรฉันสอบเทียบแล้วฉันเข้ามหาลัยเลย เหมือนเราก็หาวิธีที่จะทำให้เรารับมือกับทุกอย่างให้ได้”

ดูแลพี่ชายมาตลอด เอาลงโซเชียลตลอด ตอนนี้เขาทำอะไร ?
พรีม:
“พรีมเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดูแลทุกคนในครอบตรัวเพียงคนเดียว พรีมรู้สึกว่าครอบครัวที่บ้านจะแบ่งหน้าที่โดยชัดเจน คุณแม่ก็จะทำหน้าที่ซัพพอร์ตเรื่องบ้านจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายทุกอย่างให้พรีม พรีมไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย พรีมมีหน้าที่ออกมาทำงานข้างนอก พี่ชายเป็นพ่อบ้านชั้นดีที่ซัพพอร์ตคุณแม่และซัพพอร์ตพรีมได้ดีมากๆ”

มีวิธีการดูแลพี่ยังไงบ้าง ?
พรีม:
“ที่บ้านจะวางพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กเลย ฝึกเรื่องของสมาธิ ก็คล้ายๆ กับเด็กปกติแต่แค่ต้องฝึกเข้มข้นขึ้น ทำให้พอจอห์นนี่โตมาถึงวัยนี้ดูแลง่ายมากสำหรับพรีมนะ เพราะเรารู้สึกว่าเหมือนเราวางพื้นฐานไว้ดีแล้ว เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นแค่เรื่องของการเราหากิจกรรมเล่นกัน สนุกกัน กิจกรรมที่ทำก็คือร้องเพลง เขาจะมีตารางที่เป๊ะมากคือเขาจะร้องเพลงทุ่มนึงถึงสามทุ่มสี่สิบห้าทุกวัน เสร็จปุ๊ปก็จะปิดทุกอย่างแล้วก็ขึ้นนอน เขาจะเป๊ะมาก ส่วนพรีมถ้าวันไหนว่างก็จะพยายามพาเขาไปเที่ยว พาเขาไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ไปเจออะไรใหม่ๆ”

อยากรู้ว่าหัวใจยังว่างมั้ย ?
พรีม:
“ก็เป็นเพื่อนคุยกันเรื่อยๆ จริงๆ รู้จักกันมานานแล้ว แต่ว่าด้วยความที่ต่างคนต่างก็โฟกัสเรื่องงานกันมากๆ เลยไม่ได้รีบร้อนอะไรชิลๆ มากกว่า เหมือนคุยเป็นเพื่อนเป็นที่ปรึกษาให้กันและกัน ไม่ได้เป็นคนในวงการบันเทิง รู้จักกันตั้งแต่อยู่มหาลัยเป็นกลุ่มๆเพื่อน”

มุมมองความรักเปลี่ยนไปมั้ยตั้งแต่ตอนเด็กๆกับตอนนี้ ?
พรีม:
“เปลี่ยนค่ะ ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะเปลี่ยน ตอนเด็กๆเราก็จะมีสเปกชัดเจนว่าอยากได้แบบนั้นแบบนี้ต้องดูแลเรา สูง หล่อ ตลก ต้องใจดี พอโตขึ้นมารู้สึกว่าจริงๆ เราแค่มีคนที่เติมให้กันและกัน แล้วก็ผลักดันให้ต่างคนต่างเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในของตัวเอง เคารพซึ่งกันและกัน”

ข่าวล่าสุด

ดูทั้งหมด

เฉลยแล้วใครแหวกศูนย์พักพิง กัน จอมพลัง ฝากถึงนายกฯแบบนี้ (คลิป)

เฉลยชัดๆ กัน จอมพลัง ปล่อยภาพคนแหวกศูนย์พักพิง ถ่ายภาพญาติเหยื่อตึกสตง.ถล่ม พร้อมฝากถึงนายกฯอิ๊งค์ด้วยคำพูดแบบนี้

“ไฮโซกี้” ลมแทบจับ! เพนท์เฮ้าส์หรู พังเละ!! หลังแผ่นดินไหว

“ไฮโซกี้” แฟน มินนี่ ภัณฑิรา ลมแทบจับ เพนท์เฮ้าส์หรู พังเละหลังเจอ แผ่นดินไหว กลางกรุง แถมต้องเดินขึ้นชั้น 43 เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุแ […]

“Val Kilmer” นักแสดงผู้เป็นตำนานจาก Top Gun และ Batman Forever เสียชีวิตแล้วในวัย 65 ปี

“Val Kilmer” นักแสดงผู้เป็นตำนานจาก ‘Top Gun’ และ ‘Batman Forever’ เสียชีวิตแล้วในวัย 65 ปี Val Kilmer (วัล คิลเมอร์) นักแสดงชื่อดังจากภาพยนตร์ระดับตำ […]

รีบหาด่วนเลย ขวดน้ำหล่นใส่รถนายกฯอิ๊งค์แตก ระหว่างเยี่ยมศูนย์พักคอยตึกถล่ม

คอหวยแห่หาซื้อเพียบ ทะเบียนรถ นายกฯอิ๊งค์ เลขอะไร ถูกขวดน้ำหล่นใส่กระจกแตก หลังลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์พักคอยตึกสตง.ถล่ม

คิมเบอร์ลี่ เปิดใจ! หลังป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

คิมเบอร์ลี่ เปิดใจ! หลังป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หมาก ปริญ – คิมเบอร์ลี่ ควงคู่กันออกงานล่าสุด พร้อมอัปเดตสุขภาพ หลัง คิมเบอร์ลี่ ป่วยด้วยโ […]

เฉลยภาพไวรัล คลิปคนกระดิกเท้า ตึกสตง.ถล่มคลิปจริงหรือจกตา

สรุปให้ที่โลกออนไลน์แชร์ คลิปคนกระดิกเท้า เป็นคลิปเก่าตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. 68 ด้านเพจชื่อดังลบข้อมูลไปแล้ว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า