แซม ยุรนันท์ ออกมาแถลงแล้ว! ยืนยันเป็นแค่คนพัฒนาสินค้า ไม่เกี่ยวธุรกิจขายตรง พร้อมลั่น ไม่เข้าข้างคนผิด
เรียกได้ว่า กลายเป็นประเด็นร้อนระอุบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว สำหรับ กรณีบริษัทขายตรงชั้นนำชื่อดัง ที่ได้ดึงคนบันเทิง และเหล่าดาราดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพื่อสร้างดาวไลน์ขายฝันหลอกให้ประชาชนมาร่วมลงทุน ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งด้าน หนุ่ม กรรชัย ก็ได้ออกมาเผยว่า ตอนนี้กำลังเตรียมแฉขบวนการธุรกิจขายตรงดังกล่าว อยู่ในช่วงกำลังเก็บข้อมูล และไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีทีมผู้บริหารชื่อดังอีกทั้งยังได้ดึงดาราไปร่วมงาน อาทิ กันต์ กันตถาวร, แซม ยุรนันท์, มิน พีชญา ฯลฯ กระทั่งทาง แซม ถูกโยงเอี่ยวปมเครือข่ายโกง เกี่ยวกับเรื่องราวของบริษัทนี้ที่เจ้าตัวนั้นเป็นหนึ่งในตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์

แซม จับเข่าคุยบอสพอล ยืนยันเป็นแค่คนพัฒนาสินค้า!
ล่าสุด แซม ได้ออกมาแถลงปมประเด็นดังกล่าว โดยได้เผยว่า เมื่อวานเราก็เข้าไปจับเข่าคุยกับบอสพอลแล้ว ว่ามันคืออะไร เพราะสิ่งที่เราเห็นในข่าวเราก็ไม่รู้เหมือนกัน เนื่องจากเราถูกเชิญมาอยู่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะดูแลในเรื่องของสินค้าเท่านั้น ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ที่จะซื้อไปขายและซื้อไปใช้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องบริหารบริษัทในเครือข่ายธุรกิจต่างๆ เวลาประชุมก็จะเป็นวาระที่เกี่ยวกับสินค้า อีกอย่างเราเพิ่งเข้ามาอยู่ใหม่ได้เกือบปีแล้ว ไม่ได้รู้ระบบของบริษัทขนาดนั้น
(บอสพอลว่ายังไงบ้าง ?) คำตอบให้ไม่ได้ แต่ในฐานะที่เราเป็นพี่ก็เสนอทางแก้ปัญหาไป เขาก็รับฟังด้วยดี เพียงแต่ตอนนี้เขาอาจจะยังงงว่าจะไปยังไงดีกว่า เขาคงมีทางแก้ปัญหาของเขาอยู่ แต่เท่าที่ฟังเขาก็เห็นใจและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เรียกตรวจสอบทุกแผนกว่ายังไง ใครไปหลอกลวงหรือเปล่า เราเองถามตรงๆ ว่ามีอะไรที่เราไม่รู้ไหม เขาก็บอกว่าไม่ได้ทำผิดอะไร อย่างที่เห็นว่าบริษัทเขาทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายหมด อีกอย่างเราตรวจสอบตั้งแต่ก่อนเข้ามารับตำแหน่งแล้วว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ไหม อะไรยังไงไหม เห็นว่ามันไม่ได้เข้าข่ายเราก็เลยเข้ามาทำ
(แล้วเป็นพรีเซ็นเตอร์ด้วยไหม) ไม่ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ทางบริษัทมีการขอรูปเอาไปขึ้นบิลบอร์ด เพราะว่าจริงๆ การที่เราดูแลสินค้าก็แทบจะช่วยดูทุกตัวอยู่แล้ว

(ข่าวที่ออกมาจะกระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของตัวเองไหม ?) อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องพูดต่อสังคม แต่สิ่งที่เรากังวลอันดับแรกคือเราเป็นห่วงคนที่เขาเสียหายมากกว่า บางคนถึงขนาดล้มละลาย บางคนเดือดร้อนไม่มีจะกิน ความที่เราเกิดมาจากประชาชน ถ้าเขาเดือดร้อนขนาดนี้ เราว่าเรื่องผิดถูกอีกเรื่องหนึ่ง แต่การเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาให้คนไม่เดือดร้อนเป็นเรื่องสำคัญกว่า หลังจากนี้ก็ค่อยมาคุยกันว่าเราจะทำยังไงกับคนที่ส่วนใหญ่ บอกว่าซื้อไปแล้วมันขายไม่ได้ มาดูซิว่าแล้วคนที่ขายได้เขามีวิธียังไง แล้วมาช่วยกันพยุงคนที่เขาขายไม่ได้ให้เติบโตได้ เชื่อว่าสุดท้ายมันอยู่ที่การพูดคุยกัน
(ยืนยันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวง?) ถ้ายืนยันคือเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการขาย ส่วนเรื่องกล่าวหาคือเรื่องกล่าวหา ถ้าเกิดว่าบริษัทเขามีการหลอกลวงจริงๆ แล้วใครเป็นคนหลอกลวง ถ้ามันมีหลักฐานตรงนี้จริงๆ เราก็ไม่เข้าข้างอยู่แล้ว คนทำผิดก็ว่ากันไปตามผิด ส่วนตัวไม่เคยเห็นการเข้าไปหลอกลวงกันของใครเลยตอบไม่ได้ เพราะเวลาเข้าไปในบริษัทก็มีแต่คนประสบความสำเร็จ เราเห็นแต่ในมุมนั้น พอสองสามวันนี้มาเห็นข่าวแบบนี้เราก็ตกใจและแปลกใจ ว่ามันมีแบบนี้ ทำไมเราไม่รู้ อันนี้เป็นเรื่องที่คิดว่าต้องเข้ามาคุยกัน การที่ออกมาถล่มกันไปมาสุดท้ายมันจะหาทางแก้ไม่ได้

(การที่บริษัทใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นนักแสดงตัวท็อป มีผลต่อความน่าเชื่อถือ?) แน่นอนอยู่แล้ว ตรงนี้เราถึงได้บอกว่าจะปัดความรับผิดชอบขนาดนั้นไม่ได้ เพราะเราเชื่อว่าคนซื้อสินค้าจะเอาไปใช้เองหรือเอาไปขายก็ตาม ส่วนหนึ่งเขาอาจจะเชื่อถือเพราะเราเป็นคนดูแลเรื่องผลิตสินค้าออกมาด้วย ฉะนั้นแน่นอนว่าถ้าสินค้ามันไม่ดีก็กลับมาว่ากัน แต่วันนี้คนเดือดร้อนยังไม่ต้องหาใครผิดใครถูก แต่ควรช่วยเหลือก่อน หลังจากนั้นมาว่ากันตามผิดถูกอีกที จะดำเนินธุรกิจด้วยกันต่อ หรือเลิกกันไปก็สุดแล้วแต่การตัดสินใจของแต่ละคน
ยืนยันว่าเราอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หนีไปไหน แล้วเราก็ไม่เข้าข้างคนผิดอยู่แล้ว สมมติถ้าเรารู้ว่ามีการทำผิดแล้วไปร่วม แสดงว่าเราก็ผิดด้วย แต่นี่เราไม่รู้จริงๆ ว่าเขาทำอะไรผิด สำหรับเรามองว่าการพูดคุยกันครั้งนี้นี้มันส่งผลไปทั้งประเทศ เพราะเชื่อว่าไม่ได้มีดิไอคอนบริษัทเดียวที่ทำรูปแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม บริษัทอย่าหลีกเลี่ยงความช่วยเหลือครับ
