แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท กรณ์ จาติกวณิช ชี้ เพื่อไทย คิดมาไม่ละเอียด หวังผลทางการเมืองมากกว่าการพัฒนา เป็นอันตรายต่ออนาคตเศรษฐกิจ
วันที่ 9 ตุลาคม 2566 กรณ์ จาติกวณิช กล่าวถึง นโยบายรัฐบาล แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ว่า พอหลุดออกจากวัฏจักรการแข่งขันทางการเมือง ผมรู้สึกสบายใจกับการที่ไม่ต้องขัดแย้งหรือพยายามเอาชนะใคร แต่ความรู้สึกเป็นห่วงบ้านเมืองไม่เปลี่ยน ที่เปลี่ยนคือมีใจให้กับทุกฝ่ายในการทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าจะเป็น #เพื่อไทย ในฐานะรัฐบาล #ก้าวไกล ในฐานะฝ่ายค้าน หรือพรรคเก่าผมคือ #ประชาธิปัตย์ ที่อยากให้ฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นทางเลือกให้ประชาชน ผมไม่ได้เป็นตัวละครทางการเมือง แต่ในบางสถานการณ์ก็ยังรู้สึกว่าความคิดและประสบการณ์ของเรายังอาจเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดเส้นทางของสังคม ในกรณีนี้ก็พร้อมแสดงออก พร้อมช่วยคิด ช่วยนำเสนอ

อย่างเรื่องแผนการ #แจกเงินดิจิทัล ผมเป็นหนึ่งใน (อดีต) หัวหน้าพรรคไม่กี่คนที่แสดงความเห็นชัดเจนตั้งแต่ช่วงดีเบตและหาเสียงว่า ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ และผมตระหนักอย่างมากว่าผมพูดในฐานะผู้ที่เคย ‘แจกเงิน’ ประชาชนโดยตรงคนแรกเลยด้วยซํ้าด้วยนโยบาย ‘เช็คช่วยชาติ’ เมื่อปี 2552 ในช่วงวิกฤตการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ และผมลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคส่วนหนึ่งก็เพื่อให้พรรคชาติพัฒนากล้าสามารถเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยโดยสะดวก ส่วนตัวจริงๆ ผมเชียร์ให้ #นายกเศรษฐา ประสบความสำเร็จ ผมรู้จักกับ ‘พี่นิด’ มานมนานตั้งแต่สมัยเด็กๆ ซึ่งตลอดช่วงที่เราอยู่คนละขั้วทางการเมืองก็มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
- รวบ อิทธิพล คุณปลื้ม คาสนามบินสุวรรณภูมิ หลังหลบหนีไปกัมพูชา
- ราคาน้ำมัน ลงได้ไม่เท่าไร ส่อแววขึ้นแล้ว ผลกระทบ สงครามอิสราเอล
- สงครามอิสราเอล คนไทย เสียชีวิตแล้ว 12 คน โดนลักพาตัว 11 ราย
ผมกำลังสื่อว่าความเห็นของผมในเรื่องนโยบายนี้ไม่มีประเด็นการเมืองเกี่ยวข้อง และผมอยากเห็นพลพรรคเพื่อไทยออกมาตอบโต้ความเห็นค้านจากทุกทิศในเชิงหลักการเศรษฐศาสตร์มากกว่าที่จะตอบโต้ทางการเมือง หรือด้วยการด้อยค่านักวิชาการที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านในช่วงที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเคยสร้างประวัติศาสตร์ทางด้านนโยบายด้วยความกล้าหาญและวิสัยทัศน์ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค หรือแนวคิดส่งเสริม OTOP หรือการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ dual track แต่เพื่อไทยควรตระหนักเช่นกันว่าบางนโยบายสร้างความเสียหายอย่างมาก ชัดๆ คือประกันราคาข้าวทุกเมล็ดที่เรียกว่า #จำนำข้าว และนโยบาย #รถคันแรก
ผมรู้สึกอย่างมากว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัลเป็นนโยบายที่คิดมาไม่ละเอียด หวังผลทางการเมืองมากกว่าการพัฒนา และเป็นแนวนโยบายที่อันตรายต่ออนาคตเศรษฐกิจของเราอย่างมาก เพื่อไทย ยังสามารถปรับแนวคิด และเบนทรัพยากรไปสู่การแก้ปัญหาหนี้สินของประชาชน และการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อช่วยภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไปในการเตรียมรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในด้านเทคโนโลยี ด้านสังคมสูงอายุ และด้านพลังงานหมุนเวียน หรือยังไม่ต้องรีบกู้เงินก้อนนี้ก็ได้ เก็บกระสุนไว้ก่อน ไว้จำเป็นจริงๆค่อยว่ากัน รัฐบาลนี้มีความมั่นคงมากกว่าที่คนคิด เพราะแรงเสียดทานทางการเมืองหายไปมากจากการผสมผสานข้ามขั้ว หากใช้ทุนทางการเมืองในทางที่บ้านเมืองได้ประโยชน์ ความกังขาในที่มาของรัฐบาลจะถูกมองข้าม เพราะผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่พร้อมยอมรับทุกรัฐบาลที่สร้างประโยชน์ให้กับเขา ทุกรัฐบาลมีตำนาน เขาเรียกว่า ‘legacy’ ขึ้นอยู่กับท่านนายกฯ ว่าคนจะจำรัฐบาลนี้อย่างไร

ซึ่งก่อนหน้านี้ กรณ์ จาติกวณิช ยังได้เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ นโยบายแจกเงินดิจิทัล อีกว่า ฝุ่นตลบจากการลงนามแถลงคัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท โดยนักเศรษฐศาสตร์ 99 คน เนื่องจากผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้อยู่แต่เดิม ก็เลยติดตามอ่านเหตุผลของกลุ่มนักวิชาการว่าเขามีความกังวลในประเด็นใด มาสะดุดเอาตรงตัวเลขรายได้ของรัฐเทียบกับ GDP ที่ดูตํ่ามากเกินจริงที่ 13.7% ซึ่งตัวเลขนี้มีความสำคัญอย่างมาก เป็นตัวบ่งชี้ว่ารัฐมีกำลังทางการคลังมากน้อยแค่ไหนในการดูแลประชาชนและพัฒนาบ้านเมือง ผมขอเปรียบเทียบให้เห็นว่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว 38 ประเทศในกลุ่ม OECD เฉลี่ยรายได้ของเขา เทียบกับ GDP จะอยู่ที่ประมาณ 34% ส่วนประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการอย่างสมบูรณ์ที่สุดในแถบ Scandinavia จะมีสัดส่วนรายได้ภาษีเทียบ GDP อยู่ระดับ 45-50% หากเราอยากให้รัฐดูแลเรามากขึ้น รัฐก็ต้องมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งผมมีความทรงจำว่าของไทยเราน่าจะอยู่ที่ 16-17% เลยข้องใจตัวเลขที่ปรากฏในแถลงการณ์ แต่มีนักเศรษฐศาสตร์ที่ผมติดตามอยู่ทักมาให้เช็คดูกับตัวเลขกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ ผมเลยพบว่าตัวเลขของกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ 99 ท่านนี่น่าจะถูกต้องแล้ว คือ รายได้รัฐปี 2566 อยู่ที่ 2.49 ล้านล้านบาท เทียบกับ GDP ที่ 18.17 ล้านล้านบาท เท่ากับ 13.7% จริงๆ เป็นเทรนด์ที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะลดลงมาทุกปี จากสมัย 10 ปีก่อนที่ 16-17% และน่ากังวลเพราะที่ผ่านมารัฐบาลกู้เยอะมาก แต่กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้เรายิ่งต้องระวังกับการ ‘กู้มาแจก’ ครับ ฐานะทางการคลังเรากำลังแย่ลง ในช่วงที่รัฐกำลังมีภาระมากขึ้นเรื่อยๆจากการต้องดูแลผู้สูงอายุ เอามาใช้พรํ่าเพรื่อไม่ได้เลย
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY