รังสิมันต์ โรม ร่ายยาวทำไมพรรคพลังประชารัฐไม่ยอมให้แตะบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ชี้นี่คือความเอาแต่ได้งที่ร่วมสมยอมโดยแท้
19 ส.ค. 63 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก “Rangsiman Rome – รังสิมันต์ โรม” ระบุข้อความว่า ท่อน้ำเลี้ยงข้าใครอย่าแตะ! ทำไมพรรคพลังประชารัฐไม่ยอมให้แตะบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ
จากข่าวที่พรรคพลังประชารัฐได้เปิดเผยแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยืนกรานหัวชนฝาว่าจะไม่ยอมให้แตะต้องบทเฉพาะกาลโดยเด็ดขาดนั้น แน่นอนว่าบทบัญญัติที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดในบทเฉพาะกาล ก็คือเรื่อง ส.ว. ชุดแรก จำนวน 250 คน มีอายุการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
บทเฉพาะกาล มาตรา 269 กำหนดให้ ส.ว. ชุดนี้ มาจากการเลือกโดย คสช.
บทเฉพาะกาล มาตรา 272 กำหนดให้ ส.ว. ชุดนี้ มีอำนาจลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้แสดงแสนยานุภาพให้เห็นแล้วจากการยกมือโหวต พล.อ.ประยุทธ์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐกันโดยถ้วนหน้าไม่มีแตกแถว

บทเฉพาะกาล มาตรา 270 กำหนดให้ ส.ว. ชุดนี้มีอำนาจเข้าร่วมลงมติรับ/ไม่รับร่าง พ.ร.บ. ที่เป็น “กฎหมายเพื่อการปฏิรูป” ได้พร้อมกันในคราวเดียวกับ ส.ส. (จากที่ปรกติจะต้องลงมติในชั้นของ ส.ส. ก่อนจึงจะเข้าสู่ชั้นของ ส.ว. และแม้ ส.ว. จะไม่เห็นชอบ ส.ส. ก็ยังยืนยันมติเห็นชอบร่างกฎหมายได้)
ส.ว. ตามบทเฉพาะกาลชุดนี้จึงนับเป็นท่อน้ำเลี้ยงทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐอย่างแท้จริง
ส.ว. ชุดนี้เป็นหลักประกันว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้เป็นพรรคนำรัฐบาลต่อไป ผ่านการให้ ส.ว. ยืนเป็นเสียงกว่า 2 ใน 3 แน่ๆ แล้วของเสียงที่ต้องใช้ 375 เสียงเพื่อให้รัฐสภาโหวต พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเอาไปต่อรองให้พรรคอื่นๆ ยอมมาร่วมรัฐบาล
ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจพ้นจากตำแหน่งไป ส.ว. ชุดนี้ก็ช่วยโหวตกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำได้
หรือต่อให้รัฐบาลนี้อยู่ครบวาระถึงเลือกตั้งครั้งหน้า ส.ว. ชุดนี้ที่มีอายุ 5 ปีก็ยังอยู่โหวต พล.อ.ประยุทธ์ต่อได้อีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้ ส.ว. ชุดนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกในการออกกฎหมายที่พรรคพลังประชารัฐต้องการ โดยแค่ให้ ครม. ประทับตราว่าร่าง พ.ร.บ. ที่เสนอมานั้นเป็นกฎหมายเพื่อการปฏิรูป ก็สามารถเปิดทางเชิญ ส.ว. มาช่วยโหวตได้ทันที (ในทางกลับกัน ร่าง พ.ร.บ. ที่ฝ่ายค้านเสนอ ถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่ต้องการ ก็เอา ส.ว. มาช่วยโหวตไม่รับได้)
พรรคพลังประชารัฐรู้ทั้งรู้ว่า ส.ว. ชุดนี้ไม่มีความชอบธรรมในทางประชาธิปไตย ไม่มีความยึดโยงใดๆ กับประชาชน ไม่สมควรจะเข้ามามีอำนาจแบบนี้ตั้งแต่แรก แต่พรรคพลังประชารัฐก็ยังยืนกรานที่จะเก็บความด่างพร้อยนี้ไว้เพื่อประโยชน์ของตัวเองล้วน ๆ
นี่คือความเอาแต่ได้ของพรรคพลังประชารัฐและพรรคการเมืองกับนักการเมืองที่ร่วมสมยอมโดยแท้