เพศศึกษา101 วันนี้มาให้ความรู้ เชื้อเอชไอวี ป้องกันได้ ไม่ใช่แค่กับ LGBTQ+ เท่านั้น PrEP กับ PEP ยาต้านไวรัส HIV
การมีเพศสัมพันธ์ที่เปิดกว้างและเสรี ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวียังเพิ่มสูงขึ้น ยื่งใครที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยหรือไม่เคยตรวจเลือดสุขภาพอยู่เป็นประจำยิ่งต้องระวัง วันนี้พามารู้จักกับยาต้านไวรัสเอชไอวีทั้งแบบป้องกันและฉุกเฉิน คืออะไร มาดูเลย

PrEP คืออะไร?
PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง) เป็นยาต้านไวรัสสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีภาวะสุ่มเสี่ยง หรือรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อ เช่น ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ทราบผลเลือดหรือมีคู่นอนหลายคน , ผู้ที่คู่นอนเป็นผู้ติดเชื้อ HIV , ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น , มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นต้น แต่ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ ประสิทธิภาพของยา PrEP จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการรับประทานยา
วิธีการรับประทาน
- ต้องรับประทานยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด ให้ตรงเวลา
- ป้องกันการติดเชื้อโดยใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การลดจำนวนคู่นอน เป็นต้น
- หลังจากใช้ยา PrEP ควรตรวจเลือดเพื่อติดตามประสิทธิภาพของยาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีทุก ๆ 3 เดือน สำหรับระยะเวลาการใช้ยาและการหยุดยาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
PEP คืออะไร?
PEP หรือ Post exposure prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน) ใช้รับประทานหลังจากมีความเสี่ยงได้รับเชื้อเอชไอวีให้ไวที่สุดหรือภายใน 72 ชม. เช่น การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ถูกข่มขืน สัมผัสเลือดหรือได้รับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ HIV บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุ มีดบาด เข็มตำในโรงพยาบาลจากการทำหัตถการให้คนไข้ เป็นต้น แต่หากเกินกว่า 72 ชม. การใช้ยา PEP จะไม่เกิดประโยชน์ ในการป้องกันการติดเชื้อ จึงไม่จำเป็นต้องรับยา แต่ควรมาตรวจเลือดหลังจากวันที่มีความเสี่ยงอย่างน้อย 14-21 วัน
วิธีการรับประทาน
- ยา PEP ต้องรับประทานจนครบ 28 วันตามที่แพทย์กำหนด
- ตรวจหาเชื้อซ้ำหลังผ่านไป 1 เดือนและ 3 เดือน
- ระหว่างนี้ผู้กินยาต้องใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
- หากกินไม่ครบประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลง และจะต้องมีการตรวจหาเชื้อ HIV ซ้ำหลังรับประทานยาครบ
เชื้อเอชไอวีสามารถป้องกันได้ หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับยาได้ที่สถานบริการของรัฐ เอกชน หรือคลินิกเฉพาะทางที่มีแพทย์ประจำ เนื่องจากการใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และมีเงื่อนไขว่าผู้นั้นจะต้องผ่านการตรวจเลือดแล้วพบว่ามีผล HIV เป็นลบ รวมถึงการตรวจไวรัสตับอักเสบบี และตรวจการทำงานของตับและไตร่วมด้วย เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยา
แหล่งที่มา อาหารและยา
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่นๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY