จบประเด็นดราม่า!? “ทนายธรรมราช” เผยสาเหตุ ที่ไม่ได้ไปคุยกับ “หนุ่ม กรรชัย” ตอนที่อยู่ สน.ทองหล่อ เพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง
เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่วุ่นวายกันทั้ง สน.ทองหล่อ สืบเนื่องจากที่ทาง ครอบครัวเชื่อมจิต ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีที่ทางพิธีกรชื่อดัง หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มเชื่อมจิต ประกอบด้วย พ่อแม่ของน้องไนซ์ และทนายความส่วนตัวอย่าง นายธรรมราช สาระปัญญา ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ทั้งส่วนตัวและในส่วนของบริษัท
เมื่อช่วงในวันเดียวกันนั้นก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย เมื่อเจ้าหน้าที่ให้ครอบครัวเชื่อมจิต พิมพ์ลายนิ้วมือที่ชั้น 1 ทั้งๆ ที่ปกติขั้นตอนการพิมพ์นิ้วมือจะต้องดำเนินการที่ชั้น 2 ทำให้ หนุ่ม กรรชัย ตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ทองหล่อว่าคล้ายกับการปฏิบัติ 2 มาตรฐาน ทำไมถึงให้อภิสิทธิ์กับครอบครัวนี้ ? และในระหว่างนั้น หนุ่ม กรรชัย ก็ได้เห็น ทนายธรรมราช กำลังเดินเข้าห้องพร้อมกับครอบครัวเชื่อมจิต เจ้าตัวถึงกับอารมณ์เดือด ตะโกนลั่นกลางโรงพักว่า “ว่าไงธรรมราชเก่งนักเหรอ เก่งแต่ข้างในเปล่า ไอ้ธรรมราช! ออกมาคุยกันหน่อยสิ”

ล่าสุด เพจ ทนายธรรมราช The Lawyer of legality. ได้มีการโพสต์ข้อความชี้แจงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า “ที่ผมไม่ได้คุยกับหนุ่มกรรชัย ตอนที่อยู่สน. ทองหล่อ เพราะว่าผมหิวข้าวครับ ณ ตอนนั้นผมยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เลยไม่มีอารมณ์คุย และไม่ได้กลัวแต่ในฐานะที่อายุมากกว่าผม ก็ให้เกียรติจึงไม่ตะโกนสวนกลับ

อีกประการหนึ่ง ณ เวลานั้นผมต้องตรวจเอกสาร อันเป็นเอกสารสำคัญประกอบสำนวนคดี จึงต้องให้ความสำคัญ ในเรื่องนั้นมากกว่า เอาเป็นว่าถ้าอยากคุยกับผม เดี๋ยวไปคุยกันที่ศาลครับ ตามวันและเวลานัด ที่ลงในหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ในส่วนวันนี้ที่สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เดิมทีพ่อนกแม่นกและน้องไนซ์ พร้อมพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติธรรมกลุ่มนิรมิตเทวาจุติจะไปยื่นหนังสือด้วยตนเอง แต่ด้วย เหตุผลของการเดินทาง เกรงจะขึ้นเครื่องกลับสุราษฎร์ธานีไม่ทัน จึงมีการเปลี่ยนแผนหลังจากที่ผมได้โพสต์ลงใน Facebook เมื่อเช้านี้

ในส่วนประเด็นคำถามนั้น ไม่ว่าทางท่าน ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะดำเนินการไปในทางใด ย่อมมีผลทางกฎหมายแน่นอนครับ แต่จะมีผลไปในทางใด นั้นขึ้นอยู่กับ ดุลยพินิจของท่าน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้กำหนด”
