ผอ.โรงเรียนดังลำปางถูกเจ้าหนี้ฟ้อง – ตามยึดทรัพย์ตั้งแต่ปี 50 -ฟ้องล้มละลายซ้ำ ก่อนใช้คนรอบตัวทำธุรกรรมทางการเงิน จนคนใกล้ชิด ต้องรับหนี้แทนเป็นพรวน เผยเคยถูกร้องเรียนทั้งเรื่องครอบครัว – ร่ำรวยผิดปกติมาแล้ว แต่เรียกสื่อ 3 สำนักพบจนเรื่องเงียบ
จากที่นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย อายุ 65 ปี อดีตครูเกษียณราชการ และอดีตเลขาส่วนตัวของ ผอ.โรงเรียนดังในตัวเมืองลำปาง ออกมาร้องเรียนพร้อมนำเอกสารต่างๆออกมาแฉแหลก ถึงการรับเงินของโรงเรียนที่ไม่ผ่านระบบของโรงเรียน แต่กลับมาเข้าที่สำนักงานผู้อำนวยการโดยตรงซึ่งมีเงินหมุนเวียนกว่า42ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง4ปี มีการสั่งจ่ายเงินโดย ผอ.เพียงคนเดียว จนเป็นที่สนใจของกระแสสังคมในวงกว้างขณะนี้ ส่วนที่มีความสงสัยกันว่าทำไม ผอ. คนดังกล่าวจึงต้องให้ทั้งลูกน้อง คนใกล้ชิด ญาติ ของตนเองไปกู้หนี้ยืมสิน จำนำ จำนอง ทรัพย์สินต่างมากมายแล้วเอาเงินมาให้ตนเองกู้ยืมนั้น
จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่า ทางเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ ได้เริ่มยึดทรัพย์สินตั้งแต่ปี 2550 โดยมี บริษัท วีระลิสซิ่ง จำกัด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง และหลังจากนั้นก็ทยอยติดตามยึดทรัพย์นำมาขายทอดตลาดเรื่อยมาจนถึงปี 2559 ทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้จึงได้ยื่นฟ้องล้มละลายอีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ ผอ.ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินใดๆได้อีกต่อไป จึงต้องให้บุคคลใกล้ชิดดำเนินการแทนตนเอง ซึ่งก็รวมถึงการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินหลายแห่งโดยใช้อสังหาริมทรัพย์ของคนรู้จักและใกล้นำไปจำนองและนำเอามาสร้างบ้านหลังใหญ่ บ้านพร้อมรีสอร์ทและโรงแรมม่านรูดซึ่งมีการขยายเพิ่มทีละ 3-4ห้องโดยตลอดล่าสุดน่าจะเกือบ10ห้องแล้ว พร้อมกันนี้ยังมีทำฟาร์มเลี้ยงไก่โดยมีการสั่งซื้อตู้อบไข่มาใช้เพื่อไว้เป็นอาชีพหลังเกษียณไว้รองรับอีกหนึ่งโครงการด้วย
นอกจากนี้ยังตรวจสอบพบว่าที่ผ่านมาได้มีการร้องเรียนเกี่ยวกับ ผอ.คนดังกล่าวไปยังศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดลำปาง ซึ่งล่าสุดในปี 2559 ที่ผ่านมา ได้มีการร้องเรียนเรื่องครอบครัวและความร่ำรวยผิดปกติ แต่ปรากฎว่า ปลายเดือน ก.พ.59 ทาง นิติกรของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปางเขต 1 ได้สรุปผลการสอบสวนว่าหลักฐานไม่พอเพราะว่า ผอ. ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่เข้าข่ายเป็นความผิดวินัยข้าราชการ กรณีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า การร้องเรียนกล่าวหาไม่มีมูลจึงให้ยุติและส่งให้ ผอ.สฟป.เขต1ลงนาม ยุติเรื่องไปโดยปริยาย ซึ่งจะเห็นว่าขัดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมากทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องทรัพย์สินต่างๆที่ได้ใช้ชื่อบุคคลในครอบครัวและคนใกล้ชิดเป็นเจ้าของจำนวนมาก ทั้งนี้จะเห็นว่าหลังจากที่มีผู้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวและเริ่มมีกระแสข่าวออกมา ทาง ผอ.ได้ใช้วิธีเรียกสื่อท้องถิ่นและสื่อส่วนกลางรวม 3 คน เข้าพบเพื่อเจรจาและจ่ายเงินปิดข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นซึ่งครูต้อย อดีตเลขา ผอ.ยืนยันว่า ทาง ผอ.ได้จ่ายเงินเพื่อเป็นการปิดข่าวกับนักข่าวทั้งสามคนจริง ซึ่งก็ตรงกับที่ครูต้อยได้บันทึกไว้ในบัญชีรายจ่ายที่ครูต้อยเขียนบันทึกไว้ว่าในเดือน ก.พ.59 มีการจ่ายเงินให้นักข่าวเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำให้ไม่มีใครทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจนกระทั่งเรื่องยุติไปในที่สุด