โควิด19 — หมอธีระ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat อัปเดตสถานการณ์โควิด ทั่วโลก 21 ธันวาคม 2563 ระบุว่า
“ทะลุ 77 ล้านไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่มถึง 600,188 คน รวมแล้วตอนนี้ 77,103,211 คน ตายเพิ่มอีก 9,094 คน ยอดตายรวม 1,698,532 คน
อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 206,517 คน รวม 18,225,947 คน ตายเพิ่มอีก 2,131 คน ยอดตายรวม 324,574 คน
อินเดีย ติดเพิ่ม 24,589 คน รวม 10,056,248 คน
บราซิล ติดเพิ่มถึง 37,892 คน รวม 7,238,600 คน
รัสเซีย ติดเพิ่มอีก 28,948 คน รวม 2,848,377 คน
ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 12,799 คน รวม 2,473,354 คน
อันดับ 6-10 เป็น ตุรกี สหราชอาณาจักร อิตาลี สเปน และอาร์เจนตินา ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลักหมื่นต่อวัน
เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลายหมื่น
แถบสแกนดิเนเวีย รอบทะเลบอลติก และแถบยูเรเชียยังไม่ดีขึ้น ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเอสโตเนีย ลิธัวเนีย จอร์เจีย ตลอดจนเดนมาร์กที่ติดเพิ่มหลายพันต่อวัน เพียงไม่ถึงสัปดาห์ก็ไต่อันดับแซงมาแล้วถึง 9 ประเทศ
เมียนมาร์ติดเพิ่มเฉียดพัน ส่วนจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่เวียดนาม และนิวซีแลนด์ ยังมีติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ
…สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 947 คน ตายเพิ่มอีก 19 คน ตอนนี้ยอดรวม 116,134 คน ตายไป 2,443 คน อัตราตายตอนนี้ 2.1%
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น
ขอตอบแบบ”ไม่เลี่ยงบาลี” ว่า เราอยู่ในสถานการณ์ระบาดซ้ำอย่างชัดเจน
จะใช้คำว่า ระบาดซ้ำ ระบาดระลอกสอง ระบาดใหม่ ขอให้เข้าใจได้ว่ามีความหมายเดียวกันคือ กลับมาเจอการแพร่ระบาดของโรคโควิดอีกครั้ง
ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มีใครอยากจะให้มันเกิดขึ้น และต้องช่วยกันต่อสู้อย่างสุดหัวใจ
เสียเวลาเปล่าๆ หากเอาเวลาอันมีค่าไปใช้ตีความเลือกเฟ้นหาวาทกรรมที่ฟังแล้วไม่ระคาย สวยหรูดูดี แทนที่จะใช้เวลาไปในการวางแผนจัดการควบคุมโรคระบาดให้บรรเทาเบาบางลง
ประชาชนในยุคปัจจุบันมีความรู้เท่าทันการสื่อสารมากขึ้น เราจึงเห็นปฏิกิริยาตอบสนองในการที่ไม่เชื่อการสื่อสารที่สร้างภาพต่างจากสถานการณ์จริง ดังนั้นจึงต้องใคร่ครวญให้ดี กลับตัวกลับใจเสียใหม่ สื่อสารในสิ่งที่เป็นจริง ไม่หมกเม็ดปิดบัง อะไรวิกฤติก็บอกไปตรงๆ และที่สำคัญที่สุดคือ บอกทันที ไม่ใช่เก็บไว้จนสุกงอมเกินกว่าจะทานทนแล้วค่อยบอก หากทำเช่นนี้ได้ ประชาชนจะสามารถกุลีกุจอช่วยกันป้องกันตนเอง และปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนของเราจากภัยคุกคามนี้ได้
ยุทธศาสตร์การต่อสู้โรคระบาดระลอกสอง หรือระบาดซ้ำนี้ ผมขอเรียนว่าจะแตกต่างจากระลอกแรกโดยสิ้นเชิง
ระลอกแรก เคสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วช่วงมีนาคม แต่เป็นการเริ่มต้นจากการที่เรามีจำนวนน้อย จึงเสนอให้ดำเนินมาตรการเข้มข้นล็อคดาวน์ อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ และปิดการเดินทางเข้าออกประเทศ ทำให้สามารถควบคุมโรคได้ดีอย่างที่เราเห็น
ระลอกสองนี้ต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะกว่าจะรู้ตัว ก็มีการติดเชื้อมากมายแพร่กระจายไปแบบจับต้นชนปลายได้ยากแล้ว
เคยเตือนตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้วว่าให้เตรียมระบบตรวจคัดกรองโรคให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้รองรับปริมาณการตรวจจำนวนมากเวลาเกิดการระบาดซ้ำ
เพราะนี่คือหัวใจสำคัญในการรับมือ ควบคู่ไปกับหัวใจอีกดวงคือ ระบบคัดกรองและกักตัว 14 วัน และเคยเตือนแล้วว่า นับจากการเปิดประเทศจะมีเคสติดเชื้อในประเทศตามมา และนำไปสู่การระบาดซ้ำในระยะเวลาต่อมา ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีทันใด กระจายเร็ว คุมยาก หาต้นตอลำบาก และใช้เวลาในการคุมนานกว่าเดิม
ยุทธศาสตร์ในการจัดการระลอกสองนี้ ผมเรียนตรงๆ ว่าเท่าที่เราเห็นตอนนี้ ระบบการตรวจโควิดของไทยยังมีข้อจำกัดเชิงทรัพยากร ตรวจได้ไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เช่น เกาหลีใต้ จีน อเมริกา หรืออื่นๆ
ทำให้ทางเลือกที่ทำได้ดีที่สุดคือ
หนึ่ง ปิดกั้นการเข้าออกพื้นที่เสี่ยง และ knock the door and do the test สำหรับทุกคนในพื้นที่เสี่ยง ด้วยศักยภาพการตรวจที่จำกัด ก็ทำกันไปให้เต็มที่จนกว่าจะหมด ไม่ใช่แค่สุ่มตรวจไม่กี่หมื่นคน เพราะหากตรวจไม่หมด จะเกิดการกลับซ้ำมาแบบวนลูปในระยะเวลาถัดมา
สอง ให้ประชาชนทุกคนรับรู้ความเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวันทุกที่ ลดละเลี่ยงการเดินทางไปที่เสี่ยงและกิจกรรมเสี่ยงต่างๆ โดยสิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้คือ “ใส่หน้ากาก 100%”
สาม สอนให้ประชาชนประเมินประวัติและอาการตนเอง หากมีความเสี่ยง หรือมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ดมไม่ได้กลิ่น ลิ้นรับรสไม่ได้ หรือท้องเสีย ให้หยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจ โดยรัฐจำเป็นต้องปลดล็อคเกณฑ์การตรวจ ให้ทุกคนในประเทศสามารถไปตรวจได้ ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ โดยไม่จำเป็นต้องมีอาการ และเบิกจ่ายจากสิทธิกองทุนสุขภาพของแต่ละคน
สาเหตุของการระบาดซ้ำนั้น เป็นไปได้ทั้งจากต่างด้าวลักลอบเข้ามา หรือเกิดจากการมีการติดเชื้อแฝงในชุมชนอยู่แล้ว ดังนั้นการจัดการระบาดซ้ำครั้งนี้ ไม่จบอย่างง่ายๆ แน่นอนหากไปมุ่งเป้าแค่แรงงานต่างด้าว
สรุปคือ ตรวจให้มาก และใส่หน้ากาก 100% คือสิ่งที่รัฐและเราควรทำครับ ไม้นวมไม้แข็งต้องควักออกมาใช้ทั้งหมดในตอนนี้ หากคุมไม่ได้ใน 4 สัปดาห์ จะยั้งไม่อยู่ครับ
แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อ…เปลี่ยนกลไกการบริหารจัดการให้กลับมาเหมือนสมัยเราสู้ระลอกแรกครับ
ก็แค่หวัดธรรมดา หรือโรคกระจอก…ต้องไม่เกิดขึ้นมาอีกในสังคมไทย
ด้วยรักต่อทุกคน”
เครดิตภาพ Xinhuathai
หมอธีระ ซัด! โควิด19 ระบาดระลอกสองที่ทำมาอาจสูญเปล่า หากยังไม่รื้อนโยบาย
สธ.เร่งคัดกรอง! โควิด19 เชิงรุก 1 หมื่นรายใน 7 ชุมชน และแรงงานต่างด้าว