จากกรณีชาวบ้านแห่ไปนำต้นอังกาบหนู มาต้มกินเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ล่าสุดนายภาคภูมิ เดชหัสดิน หรือ “หมอแล็บแพนด้า” ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุ “อังกาบหนู” ใช้รักษามะเร็งไม่ได้ ไม่มีงานวิจัยรองรับ ไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่ากินใบอังกาบหนูอย่างเดียวจะรักษามะเร็งได้” นอกจากนี้ ถ้าเอาใบอังกาบหนูมาต้มน้ำดื่มแล้วกินต่อเนื่องหลายวัน จะทำให้เกิดพิษ มีฤทธิ์เมาเบื่อ และมีงานวิจัยที่เคยใช้อังกาบหนู ทดลองในหนูตัวผู้ติดต่อกันนาน 2 เดือน ปรากฏว่าไปมีฤทธิ์รบกวนการสร้างอสุจิ ลดจำนวนสเปิร์ม และทำให้สเปิร์มเคลื่อนไหวช้า หรือ อาจจะเป็นหมันได้
"อังกาบหนู" ใช้รักษามะเร็งไม่ได้ไม่มีงานวิจัยรองรับ…
โพสต์โดย หมอแล็บแพนด้า เมื่อ วันพุธที่ 22 สิงหาคม 2018
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจาก เภสัชกรหญิง ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หรือ “หมอต้อม” รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ระบุว่า เป็นหมันจริง หากนำส่วนรากของต้นอังกาบหนูมาต้มน้ำดื่มติดต่อเนื่องหลายวัน ทำให้สเปิร์มลดลง เนื่องจากมีงานวิจัยในหลอดทดลองและในสัตว์ทดลองพบว่ามีฤทธิ์ทางยา 3 ด้านหลัก คือ เมื่อให้หนูกินสารสกัดจากรากอังกาบหนูเป็นเวลา 60 วัน พบว่าลดการสร้างอสุจิและทำให้อสุจิเคลื่อนไหวได้ลดลง มีผลทำให้มีบุตรยาก ต้องระวังการใช้ในชายวัยเจริญพันธุ์ สำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดมีข้อควรระวังคือไม่สามารถคุมกำเนิดได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของใบและลำต้น ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย แต่ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่าช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง
และสารสกัดจากส่วนของใบ ลำต้นและรากมีงานวิจัยในหลอดทดลองพบว่า สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบได้ เช่น ข้ออักเสบ ควรใช้เฉพาะเวลาที่มีอาการปวดเท่านั้น ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน หรือใช้ในขนาดสูง เพราะอาจทำให้เกิดไตวายเฉียบพลัน และแผลในทางเดินอาหาร ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังตั้งแต่ระยะที่ 3 และผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร
เภสัชกรหญิงสุภาภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า เคยมีคนศึกษาสารสกัดจากใบและต้นของพืชสมุนไพรอังอาบหนู พบว่ามีโครงสร้างแอนตี้มะเร็ง แต่เมื่อเอามาทดสอบการต้านมะเร็งจริง ๆ ก็พบว่ายังไม่ได้ผล เพราะสารสกัดยังน้อย เพราะฉะนั้นอังกาบหนูยังเป็นสมุนไพรที่น่าจะมีการศึกษาต่อ เพราะน่าจะมีประโยชน์ในหลายเรื่องรวมถึงโรคมะเร็ง แต่ต้องบอกว่าเรื่องมะเร็งนั้นมีความซับซ้อน ตั้งแต่ชนิด ระยะเวลาที่เป็นโรค ความรุนแรงของโรค ปริมาณที่กิน ซึ่งไม่เชื่อว่าปริมาณที่ต้มกินโดยทั่วไปจะรักษามะเร็งหาย ขณะเดียวกัน ทางโรงพยาบาลอภัยภูเบศร เตรียมที่จะศึกษาวิจัยต่อ ตอนนี้กำลังเพาะพันธุ์เพื่อการพัฒนาต่อยอด
อย่างไรก็ตาม การนำสมุนไพรต่างๆ มารักษาโรคนั้น ต้องใช้อย่างระมัดระวังเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคไตเรื้อรัง โรคตับ หรือโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนตัดสินใจใช้
