หัวหน้าสุดชั่ว! ข่มขืนลูกจ้างสาว เจอแจ้งความจับ เลยฟ้องกลับ อ้างสมยอม สาวต้องโทษจำคุก 6 เดือน ก่อนรู้ความจริงก็สายไปแล้ว
เมื่อเร็ว ๆ นี้สื่อประเทศเกาหลีใต้ ได้ออกมานำเสนอข่าวฉาวที่กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรง เมื่อพนักงานหญิงรายหนึ่งเข้าแจ้งความ หลังถูกหัวหน้าข่มขืน แต่กลับกลายเป็นว่า เธอต้องเป็นฝ่ายได้รับโทษหนักถึงขั้นติดคุกนานถึงครึ่งปี (6 เดือน) เธอจึงยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ต่อศาล
ตามที่ชุมชนกฎหมายระบุไว้เมื่อวันที่ 22 ก.พ. ผ่านมา น.ส. A ได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ ซึ่งในชั้นต้นศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอ เธอจึงได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอีกครั้ง น.ส. A กล่าวว่า “ฉันต้องการพิสูจน์ผ่านการพิจารณาคดีใหม่ว่าฉันไม่ใช่นักขุดทอง ฉันต้องการล้างมลทินให้กับชื่อของฉัน ฉันถูกล่วงละเมิดทางเพศในขณะที่ฉันเมาและไม่สามารถจำอะไรได้เลย”
- เศร้าใจ! เด็กหญิงวัย 13 ปี ถูกเพื่อน-ญาติพี่น้องกว่า 60 คน ข่มขืนนาน 5 ปี
- สลด! เด็ก 15 ถูกพ่อแท้ๆข่มขืนนาน 5 ปี ไม่มีใครช่วย สุดท้ายพ่อ ฆตต. ดับ
- แก้แค้นให้สาสม! 2 สาวพี่น้อง ลงมือย่างสดพ่อ หลังถูกข่มขืนนานแรมปี
โดยเหตุการณ์ที่ทำให้น.ส. A ต้องติดคุกกว่า 6 เดือน เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2560 น.ส. A ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ที่ธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ได้ไปกินเลี้ยงกับ B ซึ่งเป็นหัวหน้าของเธอ และได้มีการดื่มแอลกอฮอล์ด้วยกัน แต่ปรากฎว่าในคืนนั้นสองได้มีความสัมพันธ์ทางเพศที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แต่หลังจากนั้น A ได้เข้าแจ้งความว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศในขณะที่มึนเมาหรือไม่สามารถต่อต้านได้
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากทางพนักงานสอบสวนได้รับหลักฐานเป็นไฟล์คลิปเสียงจากทางฝ่ายคู่กรณี ทางเจ้าหน้าที่ตัดสินใจไม่ดำเนินคดี โดยเชื่อว่าเป็นการสมยอม
ในคลิปเสียงระบุบทสนทนาของ A และ B ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังมีเพศสัมพันธ์กัน โดย A ได้พูดว่า “ทำต่อเถอะ” B จึงใช้คลิปเสียงดังกล่าวฟ้องกลับคู่กรณี โดยกล่าวหาว่าเธอเป็น “นักขุดทอง” หลังจากนั้น A จึงถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ ก่อนจะถูกส่งตัวไปพิจารณาคดีในศาล
การพิจารณาคดีครั้งแรก พบข้อเท็จจริงว่า B ได้ทำการตัดต่อไฟล์บันทึกเสียงบางส่วนจากต้นฉบับ ซึ่งมีส่วนที่ได้ยินว่า A เรียกชื่อแฟนหนุ่มของเธอ พร้อมทั้งเรียกว่า โอปป้า หลายครั้ง นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่ B ถามบางอย่างกับเธอ แต่เธอไม่ได้ตอบเขา ซึ่งส่วนต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนที่ B ตัดทิ้งไป ก่อนที่จะส่งไฟล์ให้เจ้าหน้าที่สืบสวน
ในการพิจารณาคดีครั้งแรก ศาลชั้นต้นตัดสินว่า A ไม่มีความผิด โดยมีความเห็นว่า “มีความเป็นไปได้ที่ A จะเข้าใจผิด คิดว่า B เป็นแฟนของเธอ ขณะที่เมาและไม่ได้สติ จึงยินยอมมีเซ็กส์กับเขา และแม้ว่า A จะเรียกชื่อแฟนของเธออยู่หลายครั้ง แต่ B ก็ไม่ได้สนใจ นอกจากนี้ เขายังจงใจส่งคลิปเสียงที่มีการตัดต่อมาเป็นหลักฐานในการฟ้อง”
ทว่าในการพิจารณาคดีครั้งที่สอง ศาลอุทธรณ์ได้พลิกคำตัดสินเดิม โดยตัดสินให้ A มีความผิดและรับโทษจำคุก 6 เดือน โดยมีความเห็นว่า “สามารถสันนิษฐานได้ว่าการเรียกชื่อแฟนของ A เป็นการแสดงออกตามปกติ ไม่ใช่เพราะคิดว่า B จะเป็นแฟนของเธอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่า เธอเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแฟนของเธอ อีกทั้งเธอก็ไม่เคยบอกแฟนของเธอล่วงหน้าว่าห้องโรงแรมนั้นอยู่ที่ไหน”
ต่อมา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ โดยพิจารณาจากคำให้การของ A ต่อพนักงานสอบสวน ที่ได้กล่าวว่า “ฉันไม่มีสติตอนที่มีคนมาสัมผัสร่างกายของฉัน และฉันคิดว่าคนนั้นเป็นแฟนของฉัน ฉันเผลอหลับไปและตื่นขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองซ้ำ ๆ” ซึ่งในการพิจารณาครั้งที่สองชี้ว่า “เมื่อเธออ้างว่าเมาไม่มีสติ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องผิดปกติมากหากเธอจะจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าใจผิดเรื่องเรียกชื่อได้ ข้ออ้างของเธอจึงไม่ได้รับการยอมรับ”
ในขณะที่ข้อหาเรื่องการตัดต่อคลิปเสียงของ B รวมถึงการเบิกความเท็จในศาลชั้นต้น เพิ่งจะได้รับการตัดสินว่ามีความผิด และเขาได้รับเพียงโทษปรับ โดย B อ้างว่าเขาแก้ไขไฟล์เสียงเพื่อปรับปรุงคุณภาพของเสียงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจตัดต่อ หรือละเว้นส่วนใด แต่ผลการสืบสวนพิสูจน์ว่า เขาตั้งใจลบเสียงส่วนอื่นทิ้งจริง ซึ่งรวมถึงส่วนที่ A โทรหาแฟนหนุ่ม ส่วนที่เธอไม่ตอบคำถาม และส่วนที่เธอเรียกชื่อแฟนหนุ่มหลายครั้ง
ที่มา 1