เปิดสาเหตุ “น้ำท่วมแม่สาย” หนักสุดในรอบ 80 ปี ชาวบ้านหนีน้ำไม่ทันเสียกหายหลายหลังคาเรือน ปลัด มท. เพราะพนังกั้นพัง
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย รับฟังสถานการณ์จากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนจึงทราบว่าน้ำเข้าท่วมพื้นที่ขายแดน อ.แม่สาย มาเป็นรอบที่ 8 แล้ว และครั้งล่าสุดนี้ถือว่าหนักที่สุดในรอบ 80 ปี ส่งผลให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นบริเวณกว้าง
ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ประสานทุกกองทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ทำให้มีเครื่องมือช่วยเหลือถูกส่งลงไปเป็นจำนวนมาก แต่ยังคงมีปัญหาหลักคือกระแสน้ำที่ยังไหลเชี่ยวกรากทำให้ประชาชนที่ติดค้างอยู่ตามอาคารต่างๆ ยังคงยากลำบาก แต่ร้อยละ 80% สามารถออกจากจุดน้ำท่วมและส่วนหนึ่งไปอยู่ที่วัดพรหมวิหาร อ.แม่สาย ซึ่งเจ้าอาวาสวัดอนุญาตให้เป็นสถานที่พักพิงมีจำนวนกว่า 100 คนแล้ว รวมทั้งมีโรงแรม รีสอร์ท ฯลฯ หลายแห่งให้เป็นศูนย์พักพิงหรือไปอยู่กับญาติอีกประมาณ 800 คน แต่ตัวเลขที่ชัดเจนจะได้ตรวจสอบที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่งต่อไป
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่าเจ้าหน้าที่จะทยอยเคลื่อนย้ายผู้ที่เคลื่อนย้ายให้ออกมาจากจุดน้ำท่วมเรื่อยๆ และจะเป็นปัญหาหนักกรณีผู้ป่วยติดเตียงและอื่นๆ ทำให้ยังคงพยายามกันอยู่และส่งเครื่องไม้เครื่องมือลงไปยังพื้นที่เรื่อยๆ ส่วนเรื่องอาหารและน้ำดื่มมีการจัดเตรียมปรุงสำเร็จไว้เป็นจำนวนมากแล้วโดยอาสากู้ภัยต่างๆ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ก็พยายามนำเข้าไปจัดส่งให้ประชาชนอยู่ กระนั้นสถานการณ์คาดหวังว่าจะคลี่คลาย และพื้นที่วันนี้ฝนตกลงมาน้อยกว่าทุกวันหากไม่มีพายุลูกใหม่เข้ามาคาดว่าภายใน 5 วันสถานการณ์จะคลี่คลายและจะได้ช่วยกันทำความสะอาดครั้งใหญ่ต่อไป
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า สาเหตุน้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากพนังกั้นน้ำพัง หลังฝนตกหนักตลอด 48 ชั่วโมง ซึ่งระบบเตือนภัยก่อนหน้านี้ได้ผล เพราะเจ้าหน้าที่เคยเข้าเตือนชาวบ้านว่าให้โยกย้ายออกแล้ว แต่เนื่องจากเคยเกิดน้ำท่วมแล้วใน 7 ครั้งที่ผ่านมา จึงเกิดความคุ้นชินว่า ครั้งนี้น้ำจะลดลงอย่างรวดเร็วตามปกติ ทำให้ไม่มีใครย้ายออก
ทว่าหลังพนังกั้นพัง มวลน้ำได้ไหลทะลักไปรวมกันภายในช่องแคบที่เป็นซอย ประกอบด้วยอาคารพาณิชย์ ตึก บ้านเรือน ร้อยละ 95% ที่สร้างกลายเป็นพนังกำแพงและผนวกมวลน้ำไม่สามารถลงแม่น้ำโขงได้ เพราะมีน้ำเอ่อล้นมาจากเชียงแสน ส่งผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ไม่สามารถอพยพได้ทันเวลา
ปัญหาอุปสรรคจากการประเมินผลตั้งแต่เมื่อวานจนถึงกลางวันนี้พบว่ากระแสน้ำยังแรงมาก เครื่องไม้เครื่องมือที่มีคือเรือท้องแบน เรือยาง รถจีเอ็มซี ซึ่งพบว่ากรณีรถจีเอ็มซีของกองทัพที่สูงเข้าได้เฉพาะหมู่บ้านปิยะพรนอกจากนั้นอีก 4 จุดรถเข้าไม่ได้เลย “ทั้งสายลมจอย หัวฝาย ฯลฯ ถึงวันนี้ก็ยังเข้าไม่ถึง อย่างลุงที่ติดอยู่บนหลังคาเต๊นท์สีแดงเจ๊ทสกีของกรมเจ้าท่า ทหาร ปภ.สู้ไม่ไหวถึงขนาดเรือล่มเลย โชคดีที่มูลนิธิกัน จอมพลัง ประสานกับเจทสกีโลกเข้าไปช่วยออกมาได้ นี่เล่าเป็นตัวอย่างว่าทุกคนอยากเข้าไปช่วยแต่การช่วยนั้นคนเข้าไปช่วยปลอดภัยแน่แต่คนที่จะเข้าไปช่วยอาจไม่ปลอดภัย เช่น เรือล่ม ฯลฯ แต่ผมก็ต้องกราบขออภัยด้วย”
นายสุทธิพงษ์ กล่าวและขณะนี้ทหารได้นำเฮลิคอปเตอร์จำนวน 3 ลำเข้าบินตรวจตราซึ่งทำได้จำกัดเพราะบางช่วงอากาศปิดแต่ก็จะมีทหารเป็นกำลังหลักในการพาหน่วยงานองค์กรต่างๆ หน่วยกู้ภัย เข้าไปช่วยเหลือประชาชนเป็นจุดๆ ไป โดยผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ใช้ความรู้ทางยุทธการในการวางแผนปฏิบัติการต่อไป