แก๊งโจ๋ใจเหี้ยม! รุมทำร้ายเด็ก 12 ปีดับ 1 สาหัส 1 แม่ยัน ไม่อโหสิกรรมให้

วัยรุ่นขาโจ๋ 7 คน ขี่รถประกบ-ถีบรถจยย.เด็ก 12 ปีล้ม ก่อนลงรุมทำร้ายร่างกายซ้ำ เสียชีวิต 1 ราย เจ็บสาหัส 1 ราย แม่ร้องขอความยุติธรรม

วันที่ 23 กรกฎาคม 2567 แม่วัย 50 ปี น้องเอ (นามสมมุติ) ลูกชายวัย 12 ปีกับเพื่อนถูกกลุ่มวัยรุ่นขับรถจักรยานยนต์มากัน 3 คัน 6 คน เบียดรถจักรยานยนต์ของลูกล้ม แล้วจอดรถลงมารุมทำร้ายร่างกายลูกชายกับเพื่อน โดยใช้อาวุธตีไปที่ศีรษะและลำตัวแต่ละคน พร้อมยังใช้เท้าเตะเข้าไปลำตัว จนลูกได้รับบาดเจ็บสาหัสโคม่าและเพื่อนที่ซ้อนท้ายมาด้วยเสียชีวิต

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึก เวลา 01:30 ของวันที่ 20 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา กล้องวงจรปิดจับภาพบนถนน พุทธมณฑลสาย 2 มุ่งหน้าออกถนนเพชรเกษม ได้มีรถจักรยานยนต์ ชาย 2 คน ซึ่งเป็นผู้เสียหาย ขับมาปกติ จากนั้นได้มีรถรถจักรยานยนต์คันก่อเหตุคันแรก ชาย 2 คน ขับตามหลังมา แล้วได้เบียดรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายจนล้ม ทำให้ผู้เสียหายชาย 2 คนได้รับบาดเจ็บนอนอยู่กลางถนน โดยรถจักรยานยนต์คันที่เบียดได้ขับมุ่งหน้าไป

ต่อมา มีรถจักรยานยนต์คันก่อเหตุคันที่สองและสามได้ขับตามหลังมา คันที่สองเป็นชาย 2 คน คันที่สามเป็นชาย 3 คน รวม 5 คน ก็มาจอดรถแล้วลงมาทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้ง 2 คนที่นอนอยู่กลางถนน อีกไม่นานรถจักรยานยนต์คันก่อเหตุคันแรกที่เบียดรถผู้เสียหายแล้วขับหนีไป ก็ย้อนกลับมาและลงมาทำร้ายร่างกายด้วย รวมผู้ก่อเหตุจำนวนทั้งสิ้น 7 คน ต่างคนต่างใช้เท้าเตะกระทืบไปที่ลำตัวของผู้เสียหายทั้ง 2 คนที่นอนอยู่กลางถนน พร้อมใช้อาวุธคล้ายมีดฟันไปที่ลำตัว จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุได้ขับรถหลบหนีไป

โดยแม่ของน้องแฟรงค์ คนเจ็บ ระบุว่า ในคืนนั้นน้องออกไปขับรถเล่นกับเพื่อนอีกคน คือน้องบี (นามสมมุติ) วัย 12 ปี เพื่อไปหาอะไรกินแถวสายใต้ ซึ่งน้องถือวิสาสะขับรถจักรยานยนต์ออกไป เพราะตนไม่อยู่บ้าน ก็ไม่คิดว่าน้องจะพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ ครั้งสุดท้ายที่ตนพบเจอน้องในวันนั้นก็คือน้องไปโรงเรียนตามปกติ

ที่ผ่านมาน้องแฟนไม่เคยเล่าให้ฟังว่าน้องเขามีอริหรือมีคู่ขัดแย้งกับใคร ปกติน้องมักจะมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบเตะฟุตบอลที่โรงเรียนและตนก็เพิ่งมาทราบหลังเกิดเหตุว่า น้องมีกลุ่มเพื่อนที่ชอบขี่รถจักรยานยนต์ด้วยกัน กลุ่มผู้ก่อเหตุตนก็เชื่อว่าน้องไม่รู้จักกันอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ หลังจากได้นำตัวน้องทั้งสองคนส่งโรงพยาบาล ทางแพทย์ได้แจ้งอาการว่า น้องเอ (นามสมมุติ) ลูกชายของตนสมองบวม เลือดคั่งในสมอง ต้องผ่าตัดเปิดสมองออก ซึ่งสมองเละมาก ไม่สามารถเย็บปิดสมองได้ ซึ่งแม่เอ พูดทั้งน้ำตาว่า น้องมีโอกาสรอดแค่ 1% ไม่รู้สึกตัว พร้อมที่จะจากไปได้ตลอดเวลา ไม่สามารถที่จะปั๊มหัวใจยื้อชีวิตได้ เพราะเสี่ยงที่กระดูกซี่โครงน้องจะหัก

ซึ่งหลังจากแจ้งความกับตำรวจ สน.หลักสอง ทางตำรวจแจ้งว่า ยังพิสูจน์ทราบตัวคนร้ายไม่ได้ เพราะว่าหลักฐานไม่เพียงพอไม่ชัดเจน จึงอยากฝากบอกให้ตำรวจช่วยหาตัวเด็กวัยรุ่นผู้กระทำความผิดกลุ่มนี้ให้มารับผิด เพราะตอนนี้รู้สึกกังวลว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม เนื่องจากกลุ่มผู้กระทำความผิดยังเป็นเยาวชนที่กฎหมายค่อนข้างให้ความคุ้มครองเป็นอย่างมาก รวมทั้งอยากฝากให้พวกผู้กระทำความผิดออกมารับผิดชอบ พร้อมทั้งอยากถามว่า ทำแบบนี้ไปทำไม พวกเขายังเด็กอยู่เลย ทำไมต้องทำกันรุนแรงแบบนี้ พวกคุณก็มีพ่อมีแม่ก็ควรจะต้องเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกด้วย ยืนยันว่าหากพวกเขาเข้ามาขอโทษ ตนจะไม่รับอโหสิกรรมเป็นอันขาด เพราะพวกเขายังมีพฤติกรรม ข่มขู่เพื่อนของลูกตนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฝากพ่อแม่ผู้ปกครองว่า อย่าปล่อยให้ลูกออกมาจากบ้านในยามวิกาลแบบนี้ เพราะโลกข้างนอกตอนนี้อันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเยาวชนที่มักจะกระทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ทั้งนี้แม่น้องเอกับแม่น้องบีที่เสียชีวิต ต่างก็ให้กำลังใจซึ่งกัน และกันและร้องไห้เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกของทั้งสองคน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง

ขณะที่ลูกพี่ลูกน้องของน้องบี วัย 12 ปี ผู้เสียชีวิตที่ถูกกลุ่มรถจักรยานยนต์วัยรุ่นถีบรถล้ม และใช้มีดฟันซ้ำในพื้นที่ สน.หลักสอง เปิดเผยว่า คืนนั้นน้องบีไปกินข้าวที่สายใต้ใหม่กับน้องเอ และเพื่อนรุ่นพี่ที่โตกว่ารวม 6 คัน โดยรถของน้องตนและเอคือเด็กสุด ปรากฏว่า กลุ่มน้องของตนถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุ ขี่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งไล่ มาตั้งแต่พุทธมณฑล สาย 1 จนถึงจุดเกิดเหตุคือพุทธมณฑล สาย 2 ซึ่งตนเชื่อว่า มูลเหตุน่าจะเกิดจากกลุ่มผู้ก่อเหตุเข้าใจผิด คิดว่าน้องบี และน้องเอเป็นเด็กช่าง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว น้องทั้งสองคนเพียงแค่ใส่เสื้อแขนยาวที่อาจจะดูคล้ายเด็กช่างและน้องทั้งสองคนเรียนอยู่แค่ชั้น ป.6 เท่านั้นเอง ซึ่งเท่าที่ตนทราบ พวกน้องทั้งสองคนนั้นไม่ได้มีการตะโกนด่าไปยังกลุ่มพวกผู้ก่อเหตุแต่อย่างใดเลย พวกน้องเขาได้แต่ขี่หนีอย่างเดียว แต่เนื่องจากน้องทั้งสองคนนั้นอายุยังไม่มาก เลยขี่รถจักรยานยนต์ไม่แข็ง จึงหนีไม่ทัน

นอกจากนี้ จากที่ตนได้ข้อมูลพบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มนักเรียนวิทยาลัยพาณิชย์แห่งหนึ่ง ยังไม่ทราบว่าพวกเขามีปัญหาอริกับกลุ่มเพื่อนรุ่นพี่ของบีหรือไม่ แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุเหล่านี้นั้นมีประวัติขี่รถจักรยานยนต์ไล่ขี่คุกคามกลุ่มวัยรุ่นและชาวบ้านเป็นประจำ

สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตของน้องบีคือทนพิษบาดแผลไม่ไหว พบไหปลาร้าหัก กระดูกซี่โครงหัก มีรอยฟันบริเวณด้านหลังและหัวไหล่ กะโหลกศีรษะแตก ทั้งนี้ตัวน้องโจโจ้เองนั้นพักอาศัยอยู่บ้านเพื่อนคือน้องเอ เนื่องจากพ่อแม่ของน้องแยกทางกันและไปทำงานต่างจังหวัด ซึ่งตนเชื่อมั่นว่า น้องบีไม่เคยมีประวัติเป็นอริหรือทำร้ายใครมาก่อน

สำหรับฝั่งความคืบหน้าทางคดี ตนทราบเพียงแค่ว่า ตำรวจได้มีการเรียกกลุ่มผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำ แต่ก็ไม่ทราบว่ามีกี่คนและดำเนินคดีไปแล้วหรือไม่ เพราะพวกเขาเป็นพวกเยาวชน ซึ่งส่วนตัวมองว่า น้องบีเองยังเด็กอยู่ ไม่สมควรที่จะถูกกระทำเช่นนี้ ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า กว่าจะเลี้ยงให้น้องเขาเติบโตมาได้ถึงวันนี้นั้นลำบากมาแค่ไหน

ด้านแม่ของน้องบีผู้เสียชีวิต กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนมาทราบข่าวในคืนวันนั้นว่า น้องได้เสียชีวิตแล้ว จึงได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นและไม่คาดคิดว่าน้องจะมาด่วนจากไปแบบนี้ พอได้ทราบเหตุการณ์ทั้งหมดว่าน้องถูกถีบรถจักรยานยนต์ล้มและยังถูกทำร้ายซ้ำจนเสียชีวิต ก็รู้สึก สลดใจอย่างมากว่า ทำไมถึงลงมือกับน้องอย่างนี้ ถ้าพวกเขาไม่ลงมาซ้ำกับน้อง ก็เชื่อว่าน้องน่าจะมีโอกาสรอดชีวิตได้ ไม่เข้าใจว่าลูกชายของตนไปทำอะไรให้และกังวลว่า ลูกชายรวมทั้งน้องเอจะไม่ได้รับความยุติธรรม เพราะพวกผู้ก่อเหตุนั้นเป็นพวกเยาวชน ซึ่งจะยังไม่ฌาปนกิจน้องโจโจ้จนกว่าจะได้รับความยุติธรรม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง กล่าวว่า คดีนี้ได้มีการเรียกเยาวชนผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำแล้วหลายปาก แต่เนื่องจากยังไม่มีใครให้การสักทอดว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด แต่ทางตำรวจรู้ตัวหมดแล้วว่าเยาวชนกลุ่มนั้นเป็นใคร ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการทางกฎหมาย เนื่องจากผู้ต้องสงสัยเป็นเยาวชน จึงต้องดำเนินการตามกฎหมายเด็กและเยาวชน

ต่อมา เครือญาติของเอและบี สองเหยื่อที่ถูกกลุ่มวัยรุ่นขี่รถจักรยานยนต์ประกบและถีบทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตตามลำดับ เดินทอางมายัง สน.หลักสอง เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี โดยทางด้านของ พ.ต.อ.ไตรเทพ แพทย์รัตน์ ผกก.สน.หลักสอง ได้ลงมาพูดคุยและให้ความมั่นใจแก่ครอบครัวของผู้เสียหายว่า จะดำเนินคดีนี้อย่างถึงที่สุด เนื่องจากขณะนี้ได้พิสูจน์ทราบตัวบุคคลผู้กระทำความผิดหมดแล้ว

หลังจากนั้น ครอบครัวของผู้เสียหายได้เข้าพบ ร.ต.ท.หญิง รอง สว.(สอบสวน) สน.หลักสอง และ ร.ต.ท.ลภัสกร รอง สว.สส.(สืบสวน) สน.หลักสอง ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในการสืบสวน และสอบสวนคดีนี้ ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าทางคดีผ่านสื่อมวลชน เพื่อให้ความมั่นใจแก่ครอบครัวของผู้เสียหายทั้ง 2 ครอบครัวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พิสูจน์ทราบตัวบุคคลผู้กระทำความผิดเป็นที่เรียบร้อยแล้วทั้ง 7 ราย โดยหนึ่งในนั้น พบว่าเป็นผู้ใหญ่อายุ 19 ปี 1 รายและที่เหลืออายุเฉลี่ย 13-16 ปีจำนวน 6 ราย

เบื้องต้น ได้ดำเนินการเชิญทั้ง 7 คน มาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว โดยทั้ง 7 รายรับสารภาพว่า เป็นผู้กระทำความผิดจริง แต่เนื่องจากติดขัดในเรื่องของข้อกฎหมายเด็กและเยาวชน กอปรกับผลชันสูตรพลิกศพน้องบีจากแพทย์นิติเวชยังไม่ออกมา จึงยังมีเอกสารยังไม่เพียงพอที่จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้

ทั้งนี้ ผู้กระทำความผิดทั้ง 7 ราย ส่อมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และบาดเจ็บสาหัส ซึ่งทันทีที่ได้รับเอกสารผลการชันสูตรพลิกศพจากแพทย์นิติเวช จะดำเนินการเรียกผู้ทำความผิดทั้ง 7 รายมาแจ้งข้อกล่าวหาและส่งตัวไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเด็กและเยาวชนต่อไป

สำหรับจากคำให้การเบื้องต้นเท่าที่สามารถเปิดเผยได้ กล่าวว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ขี่รถจักรยานยนต์สวยมากับกลุ่มผู้ตายและเกิดการพูดจาหาเรื่องด่าทอกันและกัน จึงเป็นชนวนเหตุที่นำมาสู่การก่อเหตุในครั้งนี้และจากข้อมูลอีกมุมหนึ่งก็คือ กลุ่มผู้ก่อเหตุไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวกัน แต่มาจากหลากหลายกลุ่ม เพราะบนถนนพุทธมณฑล สาย 2 นั้น มักจะมีการรวมตัวของกลุ่มวัยรุ่นเพื่อขี่รถจักรยานยนต์เป็นปกติอยู่แล้ว

ซึ่งนายตำรวจทั้ง 2 นายรับปากกับครอบครัวของผู้เสียหายทั้ง 2 ครอบครัวยืนยันว่า ทางพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ในคดีนี้ ไม่ต้องกังวล พร้อมเอาผิดกับผู้กระทำความผิดทั้งหมด เพียงแต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขกฎหมายเด็กและเยาวชน