ทนายธรรมราช เผย ตอนโดนตบหน้า เกิดอาการวูบก่อนรู้สึกตัวตอนล้มลงถึงพื้น พร้อมซื้ออาวุธปืนจากสวัดิการของสภาทนายความฯ เพื่อใช้ป้องกันตัว
วันนี้ 2 พ.ย. 67 พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน นําตัวนายเต้ยผู้ต้องหาในคดีทําร้ายร่างกายทนายธรรมราชส่งฟ้องศาลแขวงพระนครเหนือ หลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนนายพี ผู้ร่วมก่อเหตุอีก 1 ราย เบื้องต้นปฏิเสธข้อกล่าวหา จึงมีความเห็นทางคดีส่งอัยการในช่วงปลายเดือนนี้
โดย นายเต้ย มือตบทนายธรรมราช ยอมรับว่าก่อเหตุจริงอ้างว่าเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เนื่องจากเห็นทนายโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ “อิสลามขี่หมู” แต่เมื่อฟังแล้วพบว่าพูดไม่ตรงประเด็น จึงบันดาลโทสะก่อเหตุขึ้น โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการเตรียมการมาก่อนและไม่มีใครว่าจ้าง สําหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทําให้ทางสํานักงานตํารวจแห่งชาติมีคําสั่งห้ามไม่ให้มีการแถลงข่าวในพื้นที่ดังกล่าวอีกนั้น นายเต้ย ได้กล่าวขอโทษสื่อมวลชน และสถานที่ราชการที่ทําให้ต้องได้รับความเดือดร้อน

- บช.ก. ไม่ทน! ออกกฎเข้ม ห้ามทนายความ-นักร้อง ใช้สถานที่แถลงข่าว
- เปิดศึก! ทนายธรรมราช โพสต์เดือด หลังโดนชายปริศนา ตบปากเกือบล้ม
- ชาย ตบ ทนายธรรมราช เปิดปากแล้ว อ้างแค้น พาดพิงศาสนา-ถามไม่ตอบ
ขณะที่ทนายธรรมราชได้เดินทางมายังศาลแขวงพระนครเหนือ พร้อมเปิดเผยว่า มาในฐานะโจทย์ร่วมซึ่งตนสันนิษฐานเหตุที่เกิดขึ้นมีผู้อยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน เพราะตน และผู้ต้องหา ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่าตนไปดูหมิ่นศาสนาอิสลามนั้นไม่เป็นความจริงอาจจะฟังรายละเอียดไม่ครบถ้วนจึงเกิดความเข้าใจผิด โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทําให้ตนสั่งซื้ออาวุธปืนจากสวัดิการของสภาทนายความฯจริง เพื่อใช้ป้องกันตัวเอง ส่วนการดําเนินคดียืนยันว่าจะไม่มีการยอมความ และจะยื่นฟ้องเพ่งเรียกค่าเสียหายหลักแสน เนื่องจากได้รับบาดเจ็บบริเวณอวัยวะสําคัญ ทนายธรรมราชยังเผยอีกว่าในเหตุการณ์ที่ตนโดนนายเต้ยตบเข้าที่หน้าอย่างแรงนั้น ตนเกิดอาการวูบ ก่อนจะรู้สึกตัวตอนล้มลงถึงพื้น

นอกจากนี้ นายธรรมมราช เผยต่อว่า ในกรณีที่ตนมีการโพสต์ในเฟซบุ๊กเพจ ทนายธรรมราช The Lawyer of legality. ในลักษณะดูหมิ่นศาสนาอิสลามนั้น ตนยืนยันว่า ไม่ได้ดูหมิ่น และไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น จึงต้องขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด พร้อมกับระบุข้อความว่า “จากเหตุการณ์เมื่อวาน ผมไม่เคยดูหมิ่นหรือเหยียดหยามศาสนาใด? ผมพูดแต่ในเรื่องข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ที่ผมไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง และเป็นประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นแล้วอย่าพยายามสร้างเหตุเพื่อให้การใช้ความรุนแรงนั้น ดูเหมาะสมสมควร”
