หากเอ่ยถึงชื่อหนึ่งในนักเตะยอดเยี่ยมตลอดกาลโลกแน่นอนว่า ดิเอโก้ มาราโดน่า ต้องเป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลหลายคนนึกถึง ไม่ว่าจะเป็นแฟนบอลรุ่นใหญ่หรือรุ่นใหม่ ย่อมยากปฎิเสธจากผลงานอันเอกอุของฝีเท้าที่การันตีได้ดีว่า มาราโดน่า ยิ่งใหญ่เพียงใด การพาทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลก 1986 ในปีที่สร้างตำนานอันลือลั่นจาก หัตถ์พระเจ้า จนได้รับการเล่าขานตั้งแต่ทศวรรษ 80 จนถึงปัจจุบัน
โดยปฐมบทตำนานของ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ลืมตาดูโลกครั้งแรก เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960 ที่เมืองลานุส ประเทศอาร์เจนตินา โดยดิเอโก้ มาราโดน่า มีน้องชายเป็นนักฟุตบอลเช่นกันชื่อ ฮูโก้ มาราโดน่า ที่เคยมาเล่นเจลีกญี่ปุ่นเมื่อปี ค.ศ. 1997-1998 กับสโมสร คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ทีมเดียวกับ ชนาธิป สรงกระสินธ์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย
ขณะที่เส้นทางลูกหนัง เด็กชาย ดิเอโก้ เริ่มเล่นฟุตบอล ตอนอายุ 8 ปี เขาเริ่มเล่นฟุตบอลให้กับสโมสรท้องถิ่น Estrella Roja ก่อนที่จากนั้นฝีเท้าจะอัพเลเวล จนเข้าตาทีมโค้ชจนถูกเรียกให้มาติดสโมสรเยาวชน Argentinos Juniors
เรื่อยมากระทั่ง มาราโดนา ได้เริ่มเล่นในระดับอาชีพในวัย 15 ปี พร้อมสร้างสถิติเป็นนักเตะ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกฟุตบอลในอาร์เจนฯ จากนั้นดูเหมือนว่า กราฟชีวิตเส้นทางลูกหนังของเจ้าหนูดิเอโก้ มาราโดน่า จะเฉิดฉายเปล่งประกายต่อเนื่องได้อยู่สโมสรดังในบ้านเกิดอาร์เจนติน่า ทั้งกับสโมรอาเจนติโน จูเนียร์สและ โบคา จูเนียร์
ก่อนที่ความท้าทายในเวทีลูกหนังโลกของมาราโดน่า จะไต่เพดานพุ่งสุดๆ เมื่อฝีเท้าไปเตะตาทีมงานบาร์เซโลนา สโมสรยักษ์ใหญ่ในลาลีก สเปน ที่ดึงตัวดิเอโก้ ไปร่วมทัพ ในปีค.ศ. 1982 ตามด้วยย้ายไปเล่นที่ลีกอิตาลี กับนาโปลี ก่อนจะพาทีมกวาดแชมป์เป็นว่าเล่นทั้งแชมป์ลีก และบอลถ้วย จนเป็นนักเตะขวัญใจชาวเมืองเนเปิลส์ ในห้วงเวลาโลดแล่นในกัลโช เซเรียอา อิตาลีกับนาโปลี ในปีค.ศ. 1984-1991
จากนั้นเมื่อข้ามเข้าสู่ทศวรรษ 1990 ดิเอโก้ ได้ย้ายเล่นอีกหลายทีมทั้งกลับไปสเปนเล่นกับ เซบียา ก่อนที่จะยายไปเล่น นีเวลส์ โอลด์บอยส์ และ โบคาร์จูเนียร์ ในลีกอาร์เจนตินาบ้านเกิด ก่อนจะตัดสินใจแขวนสตั๊ดในปี ค.ศ. 1997
ส่วนผลงานทีมชาติอาร์เจนตินา ดิเอโก้ มาราโดน่า ติดทีมชาติรุ่นU20 ในปี ค.ศ. 1977-1979 และชุดใหญ่ตั้งแต่ค.ศ. 1977 – 1994
โดยผลงานทีมชาติดิเอโก้ มาราโดน่า ที่ถูกกล่าวขานมากที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1986 ฟุตบอลโลกครั้งนี้ นอกจาก มาราโดนาจะสร้างตำนาน หัตถ์พระเจ้า จนนำมาซึ่งชัยชนะเหนือทีมชาติอังกฤษ 2-1 ในรอบ 8 ทีม เมื่อปีค.ศ. 1986 ซึ่งประตูนี้เกิดขึ้นหลังจากเกมเสมอกัน 0-0
ซึ่ง มาราโดนา กล่าวถึงหัตถ์พระเจ้า นี้ว่า “un poco con la cabeza de Maradona y otro poco con la mano de Dios” (การทำประตูมาจากหัว มาราโดนา และมาจากหัตถ์พระเจ้า)
แต่ในปีเดียวกันนี้ มาราโดนา ยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญพาทีมชาติอาร์เจนติน่า คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกปี1986 ที่ประเทศเม็กซิโกเจ้าภาพ ซึ่งเป็นแชมป์โลกสมัยสองของอาร์เจนติน่า ก่อนที่ มาราโดนา ครั้งสุดท้ายในช่วง ฟุตบอลโลก 1994 โดยมาราโดน่า ผ่านการเล่นฟุตบอลโลก 4 สมัย

จากนั้นเมื่อเลิกเล่นฟุตบอล มาราโดนา เบนเข็มเริ่มรับงานโค้ชคุมทีมฟุตบอลหลายสโมสรทั้งลีกในอาร์เจนตินา, เม็กซิโก และยูเออี รวมถึงก้าวไปคุมทีมชาติอาร์เจนตินา ชุดใหญ่ ช่วงปี ค.ศ. 2008–2010 โดยในปีค.ศ. 2010 มาราโดนา คุมทัพนำทีมชาติอาร์เจนตินา เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ในฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้เจ้าภาพ ก่อนจะแพ้ เยอรมนี 0–4
อย่างไรก็ตาม แม้เส้นทางชีวิตนักเตะจะโดดเด่นแต่ ดิเอโก้ มาราโดน่า ก็ถือว่าเป็นนักเตะที่ใช้ชีวิตได้แบบสุดโต่งคนหนึ่ง เคยถูกถูกพักการเล่นฟุตบอลนาน 15 เดือน ค.ศ. 1991 หลังจากตรวจพบว่าเสพโคเคน ในประเทศอิตาลี และถูกส่งกลับบ้านในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากตรวจพบใช้สารเอฟิดรีน
โดยหลังจากเลิกเล่นช่วงอายุ 37 ปี ในปี ค.ศ. 1997 เริ่มมีอาการอาการป่วย จากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการติดโคเคน อย่างต่อเนื่อง กระทั่งในปี ค.ศ. 2005 ต้องเข้ารับการผ่าตัดท้อง เพื่อช่วยให้ดิเอโก้ คุมน้ำหนักตัว ซึ่งดิเอโก้ ก็ก้าวผ่านเอาชนะการติดโคเคนมาได้
ก่อนที่จากนั้นมาราโดนา จะปรากฏตามสื่อต่างๆทั้งการไปเล่นฟุตบอลเพื่อสังคม ร่วมกับเพื่อนนักฟุตบอลและ การนั่งชมฟุตบอลในสนามต่างๆ ในฐานะแขกรับเชิญจากชาติประเทศต่างๆ
ซึ่งภาพจำเหล่านั้นจะยังคงอยู่ในใจแฟนบอลทั่วโลกตลอดไป สำหรับ ดิเอโก้ มาราโดน่า ในฐานะหนึ่งนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
เสือเตี้ย ดีเอโก้ มาราโดน่า เสียชีวิตแล้วในวัย 60 ปี จากอาการหัวใจวาย